วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2552
นิยาม Topology
Topology จากแหล่งข้อมูลที่ 1
มีลักษณะทางกายภาพ (ภายนอก) ของระบบเครือข่าย เป็นการเชื่อมโยงสายสื่อสารเข้ากับอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องคอมพิวเตอร์ ภายในเครือข่ายด้วยกันนั่นเอง โทโปโลยีของเครือข่าย LAN แต่ละแบบมีความเหมาะสมในการใช้งาน แตกต่างกันออกไป การนำไปใช้จึงมีความจำเป็นที่เราจะต้องทำการศึกษาลักษณะและคุณสมบัติ ข้อดีและข้อเสียของโทโปโลยีแต่ละแบบ เพื่อนำไปใช้ในการออกแบบพิจารณาเครือข่าย ให้เหมาะสมกับการใช้งาน รูปแบบของโทโปโลยี ของเครือข่ายหลัก
Topology จากแหล่งข้อมูลที่ 2
Topology" คือลักษณะการเชื่อมต่อทางกายภาพระหว่างอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ในระบบเครือข่าย ซึ่งหากจะแบ่งประเภทของโครงสร้างเครือข่ายกันจริง ๆ ตามหลักวิชาการที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยก่อน ๆก็สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 แบบ ได้แก่ โครงสร้างแบบสตาร์ (Star Network) , โครงสร้างแบบบัส ( Bus Network) , โครงสร้างแบบริง ( Ring Network) และโครงสร้างแบบเมซ ( Mesh Network)
Topology จากแหล่งข้อมูลที่ 3
Topology หมายถึงรูปแบบการเชื่อมต่อ network ที่เป็นโครงสร้างทางกายภาพ ในการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เป็นเครือข่าย มีอยู่ 3 แบบได้แก่ แบบ Star, แบบ Ring หรือ แบบ Bus
แบบ Star ก็ เอา Hub มาตัวหนึ่ง เอาเครื่องคอมทุกตัวต่อเข้า Hub มันจะคล้ายๆรูปดาว มี Hub อยู่ตรงกลาง ส่วนแบบ Bus คือเอาเครื่องมาต่อกันไปเรื่อยๆ เหมือน มีถนนตรงกลางหมู่บ้าน มีบ้านอยู่ข้างๆถนน ไปจะสุดถนนจะเป็นซอยตัน และแบบ Ring เป็น คล้ายๆกับ Bus แต่ไม่ใช่ซอยตันมันวนกลับมาเป็นวงกลม เหมือนวงแหวนอ่ะครับ โดยต้นฉบับของ Ring มาจาก IBM เป็น แบบ Token Ring ความเร็วสุดๆได้แค่ 16 Mbps ซึ่งปัจจุบัน ถ้าเป็นอันอื่นเค้าวิ่งเป็น 100 Mbps ถ้าแบบ Star-Bus คือ เอาเครือข่ายแบบ Star หลายอันมาต่อแบบ Bus ถ้าแบบ Ring-Bus คือ เอาเครือข่ายแบบ Ring หลายอันมาต่อแบบ Bus
Topology จากแหล่งข้อมูลที่ 4
Topology คือรูปแบบลักษณะการเชื่อมต่อของเครือข่าย (Network topology) เป็นลักษณะการเชื่อมภายในระบบเครือข่าย ซึ่ง Topology ขั้นพื้นฐานของเครือข่ายมี 4 ประการคือ Bus topology, Ring topology, Star Topology และ Switched topology
1. Bus topology คือการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ โดยการใช้สายสัญญาณเพียงเส้นเดียว หรือหลายเส้นมาต่อกันแบบ Daisy chain หรือแบบ Multi-Drop bus สำหรับสายสัญญาณที่ใช้ในการเชื่อมต่อได้แก่ สาย Thick Coaxial หรือ Coaxial อย่างหนา
2. Ring topology คือการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์แบบวงแหวน หรือ loop โดยแต่ละโหนด มีจุดเชื่อมต่อทั้ง 2 ด้าน ซึ่งสัญญาณในเครือข่ายจะวิ่งแบบวนไปมา เป็นวงกลม
3. Star topology คือการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ โดยมีอุปกรณ์กลางที่เรียกว่า hub หรือ Wiring concentrator เป็นศูนย์กลาง เชื่อมคอมพิวเตอร์ทั้งหมดเข้าด้วยกัน เมื่อคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งส่งสัญญาณออกมา จะส่งออกไปยังทุก ๆ port ของ hub เรียกลักษณะนี้ว่า Broadcasting
4. Switched topology คล้ายกับ Star topology ที่ใช้ hub มาก แต่แบบนี้ตัว Switched hub จะมี buffer จำนวนหนึ่งของตัวเอง เพื่อเก็บ Address ของคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่ออยู่ เมื่อมีการส่งสัญญาณออกมา ข้อมูลจะถูกส่งไปยัง port ที่ระบุโดยตรง ไม่ได้วิ่งไปทุก ๆ port เหมือน hub ธรรมดา และเนื่องจากคุณสมบัตินี้ จึงทำให้ Switched hub มีราคาสูงกว่า hub โดยทั่วไปมาก
Topology จากแหล่งข้อมูลที่ 5
โทโปโลยีระบบเครือข่าย สถาปัตยกรรมการเชื่อมต่อของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มีหลายแบบ สามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมกับการใช้งาน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและประหยัดค่าใช้จ่าย รวมทั้งวางแผนระบบเครือข่ายในอนาคต โดยส่วนใหญ่คอมพิวเตอร์ภายในองค์กรใหญ่จะติดต่อสื่อสารผ่านระบบ LAN (Local Area Network) โดยมี backbone เป็นส่วนประกอบหลัก เป็นจุดที่จะทำการสื่อสารภายในองค์กรผ่าน backbone เทคโนโลยี LAN มีหลายประเภท เช่น Ethernet, Token Ring, FDDI และ Wireless LAN เป็นต้น แต่นิยมกันมากที่สุดในปัจจุบันคือ อีเธอร์เน็ต (Ethernet) ซึ่งอีเธอร์เน็ตเองยังจำแนกออกได้หลายประเภทย่อย ขึ้นอยู่กับความเร็ว โทโปโลยี (Topology) และสายสัญญาณที่ใช้ เทคโนโลยี LAN แต่ละประเภทมีทั้งหัวข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน การเลือกใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ควรให้เหมาะสมกับลักษณะการใช้งานเครือข่ายขององค์กร โทโปโลยีของเครือข่ายอาจจะมีผลต่อสมรรถนะของเครือข่ายได้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
http://www.rayongwit.ac.th/comcen09/network/topology.htm
http://edtech.kku.ac.th/~s48221275011/485050297-9/NetworkTopology.html
http:// http://www.thaiall.com/article/fiber.htm
www.expert2you.com/view_question2.php?cat_sel=50401&q_id=275&page_no=2
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=numpuang&date=10-06-2009&group=10&gblog=11
มีลักษณะทางกายภาพ (ภายนอก) ของระบบเครือข่าย เป็นการเชื่อมโยงสายสื่อสารเข้ากับอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องคอมพิวเตอร์ ภายในเครือข่ายด้วยกันนั่นเอง โทโปโลยีของเครือข่าย LAN แต่ละแบบมีความเหมาะสมในการใช้งาน แตกต่างกันออกไป การนำไปใช้จึงมีความจำเป็นที่เราจะต้องทำการศึกษาลักษณะและคุณสมบัติ ข้อดีและข้อเสียของโทโปโลยีแต่ละแบบ เพื่อนำไปใช้ในการออกแบบพิจารณาเครือข่าย ให้เหมาะสมกับการใช้งาน รูปแบบของโทโปโลยี ของเครือข่ายหลัก
Topology จากแหล่งข้อมูลที่ 2
Topology" คือลักษณะการเชื่อมต่อทางกายภาพระหว่างอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ในระบบเครือข่าย ซึ่งหากจะแบ่งประเภทของโครงสร้างเครือข่ายกันจริง ๆ ตามหลักวิชาการที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยก่อน ๆก็สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 แบบ ได้แก่ โครงสร้างแบบสตาร์ (Star Network) , โครงสร้างแบบบัส ( Bus Network) , โครงสร้างแบบริง ( Ring Network) และโครงสร้างแบบเมซ ( Mesh Network)
Topology จากแหล่งข้อมูลที่ 3
Topology หมายถึงรูปแบบการเชื่อมต่อ network ที่เป็นโครงสร้างทางกายภาพ ในการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เป็นเครือข่าย มีอยู่ 3 แบบได้แก่ แบบ Star, แบบ Ring หรือ แบบ Bus
แบบ Star ก็ เอา Hub มาตัวหนึ่ง เอาเครื่องคอมทุกตัวต่อเข้า Hub มันจะคล้ายๆรูปดาว มี Hub อยู่ตรงกลาง ส่วนแบบ Bus คือเอาเครื่องมาต่อกันไปเรื่อยๆ เหมือน มีถนนตรงกลางหมู่บ้าน มีบ้านอยู่ข้างๆถนน ไปจะสุดถนนจะเป็นซอยตัน และแบบ Ring เป็น คล้ายๆกับ Bus แต่ไม่ใช่ซอยตันมันวนกลับมาเป็นวงกลม เหมือนวงแหวนอ่ะครับ โดยต้นฉบับของ Ring มาจาก IBM เป็น แบบ Token Ring ความเร็วสุดๆได้แค่ 16 Mbps ซึ่งปัจจุบัน ถ้าเป็นอันอื่นเค้าวิ่งเป็น 100 Mbps ถ้าแบบ Star-Bus คือ เอาเครือข่ายแบบ Star หลายอันมาต่อแบบ Bus ถ้าแบบ Ring-Bus คือ เอาเครือข่ายแบบ Ring หลายอันมาต่อแบบ Bus
Topology จากแหล่งข้อมูลที่ 4
Topology คือรูปแบบลักษณะการเชื่อมต่อของเครือข่าย (Network topology) เป็นลักษณะการเชื่อมภายในระบบเครือข่าย ซึ่ง Topology ขั้นพื้นฐานของเครือข่ายมี 4 ประการคือ Bus topology, Ring topology, Star Topology และ Switched topology
1. Bus topology คือการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ โดยการใช้สายสัญญาณเพียงเส้นเดียว หรือหลายเส้นมาต่อกันแบบ Daisy chain หรือแบบ Multi-Drop bus สำหรับสายสัญญาณที่ใช้ในการเชื่อมต่อได้แก่ สาย Thick Coaxial หรือ Coaxial อย่างหนา
2. Ring topology คือการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์แบบวงแหวน หรือ loop โดยแต่ละโหนด มีจุดเชื่อมต่อทั้ง 2 ด้าน ซึ่งสัญญาณในเครือข่ายจะวิ่งแบบวนไปมา เป็นวงกลม
3. Star topology คือการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ โดยมีอุปกรณ์กลางที่เรียกว่า hub หรือ Wiring concentrator เป็นศูนย์กลาง เชื่อมคอมพิวเตอร์ทั้งหมดเข้าด้วยกัน เมื่อคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งส่งสัญญาณออกมา จะส่งออกไปยังทุก ๆ port ของ hub เรียกลักษณะนี้ว่า Broadcasting
4. Switched topology คล้ายกับ Star topology ที่ใช้ hub มาก แต่แบบนี้ตัว Switched hub จะมี buffer จำนวนหนึ่งของตัวเอง เพื่อเก็บ Address ของคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่ออยู่ เมื่อมีการส่งสัญญาณออกมา ข้อมูลจะถูกส่งไปยัง port ที่ระบุโดยตรง ไม่ได้วิ่งไปทุก ๆ port เหมือน hub ธรรมดา และเนื่องจากคุณสมบัตินี้ จึงทำให้ Switched hub มีราคาสูงกว่า hub โดยทั่วไปมาก
Topology จากแหล่งข้อมูลที่ 5
โทโปโลยีระบบเครือข่าย สถาปัตยกรรมการเชื่อมต่อของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มีหลายแบบ สามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมกับการใช้งาน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและประหยัดค่าใช้จ่าย รวมทั้งวางแผนระบบเครือข่ายในอนาคต โดยส่วนใหญ่คอมพิวเตอร์ภายในองค์กรใหญ่จะติดต่อสื่อสารผ่านระบบ LAN (Local Area Network) โดยมี backbone เป็นส่วนประกอบหลัก เป็นจุดที่จะทำการสื่อสารภายในองค์กรผ่าน backbone เทคโนโลยี LAN มีหลายประเภท เช่น Ethernet, Token Ring, FDDI และ Wireless LAN เป็นต้น แต่นิยมกันมากที่สุดในปัจจุบันคือ อีเธอร์เน็ต (Ethernet) ซึ่งอีเธอร์เน็ตเองยังจำแนกออกได้หลายประเภทย่อย ขึ้นอยู่กับความเร็ว โทโปโลยี (Topology) และสายสัญญาณที่ใช้ เทคโนโลยี LAN แต่ละประเภทมีทั้งหัวข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน การเลือกใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ควรให้เหมาะสมกับลักษณะการใช้งานเครือข่ายขององค์กร โทโปโลยีของเครือข่ายอาจจะมีผลต่อสมรรถนะของเครือข่ายได้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
http://www.rayongwit.ac.th/comcen09/network/topology.htm
http://edtech.kku.ac.th/~s48221275011/485050297-9/NetworkTopology.html
http:// http://www.thaiall.com/article/fiber.htm
www.expert2you.com/view_question2.php?cat_sel=50401&q_id=275&page_no=2
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=numpuang&date=10-06-2009&group=10&gblog=11
วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
ระบบสื่อสารดิจิตอล
ระบบสื่อสารดิจิตอล
ในยุคที่เริ่มมีการรับส่งข้อมูล ระบบต่างๆ ทำงานแบบอนาล็อกทั้งหมด ต่อมาเมื่อเทคโนโลยีทางด้านดิจิตอลได้ก้าวหน้าขึ้นมา จึงได้เริ่มมีการนำเทคโนโลยีดิจิตอลเข้าไปทดแทนแบบอนาล็อกเดิม ทั้งการนำไปทดแทนทั้งหมด เช่น สร้างโครงข่ายชนิดใหม่ หรือนำไปทดแทนบางส่วน เช่นโมเด็ม ทั้งนี้เนื่องจากข้อดีของสัญญาณแบบดิจิตอลนั่นเอง เช่น
1. ให้คุณภาพการรับส่งข้อมูลที่เท่ากันหรือดีกว่าแบบอนาล็อก
2. ง่ายต่อการบำรุงรักษา
3. เพิ่มเติมปรับปรุง หรือเปลี่ยนแปลงความสามารถหรือบริการของระบบได้ง่าย
4. มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูง
5. ทนต่อสัญญาณรบกวนได้ดี
6. สามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบของสัญญาณไปเป็นรูปแบบตามมาตรฐานต่างๆ ได้ง่าย
7. เนื่องจากสัญญาณดิจิตอลสามารถแทนได้ด้วยตัวเลข จึงนำไปทำการคำนวณที่
ซับซ้อนได้ จากจุดนี้เองทำให้เกิดวิธีการบีบอัดข้อมูลและการเข้ารหัสแบบต่างๆ
มากมาย
สัญญาณรบกวนในระบบการสื่อสารทุกระบบสัญญาณที่ได้รับอาจแตกต่างจากสัญญาณที่ส่งมา เนื่องจากความเสียหายในระหว่างการส่ง สำหรับสัญญาณอะนาล็อก ความเสียหาย อาจลดคุณภาพของสัญญาณ ส่วนสัญญาณดิจิตอล ความผิดพลาดของ bit อาจเป็นดังนี้ ไบนารี่ 1 ถูกแปลงเป็นไบนารี่ 0 และเปลี่ยนในทางกลับกันเราจะตรวจสอบความเสียหายประเภทต่างและดูว่ามันมีผลกับความสามารถในการเก็บข้อมูลของลิงค์ การสื่อสารอย่างไร ความเสียหายที่สำคัญที่สุดมีดังต่อไปนี้
- Attenuation and attenuation distortion
- Delay distortion
- Noise
สัญญาณแบบดิจิตอล (Digital Signal)
- จะประกอบขึ้นจากระดับสัญญาณเพียง 2 ค่าคือ สัญญาณระดับสูงสุด และสัญญาณระดับต่ำสุด
- มีประสิทธิภาพ และความน่าเชื่อถือสูงกว่าแบบอนาล็อก เนื่องจากมีการใช้งานค่าสองค่า เพื่อนำมาตีความหมายเป็น on/off หรือ0/1 เท่านั้น
- เป็นสัญญาณที่คอมพิวเตอร์ใช้ในการติดต่อสื่อสาร
ระบบโทรศัพท์มือถือ GSM เราใช้งานกันอยู่ทุกวันนี้ มีองค์ประกอบย่อยๆ โดยเริ่มตั้งแต่ ในส่วนเครื่องส่ง (Transmitter) ที่มีการเข้าระหัสเสียงพูด (Speech coding) โดยใช้ มาตรฐาน GSM 06.10 Speech Coding การเข้ารหัสช่องทางการสื่อสาร (Channel Coding) การมอดูเลชัน (Modulation) และในส่วนของเครื่องรับสัญญาณ(receiver) ที่มีส่วนดีมอดูเลชัน (demodulation) ส่วนถอดระหัส (Decoding) คือ แทบจะเรียกว่าเป็นการกระทำย้อนกลับกับทางฝั่งเครื่องส่ง องค์ประกอบต่างๆ เหล่านี้ เป็นส่วนหลักของระบบสื่อสารดิจิตอล GSM ซึ่ง หากรวมส่วนของช่องสัญญาณ (Channel) ซึ่งเป็นสื่อกลางในการเดินทางของคลื่นสัญญาณ ก็จะสามารถเขียนเป็นบล็อกไดอะแกรมอย่างง่ายของระบบสื่อสารดิจิตอล ด้วยสาเหตุนี้เองทำให้ในระบบ GSM นั้น มีการกำหนดองค์ประกอบเพิ่มเติมขึ้นมาในส่วนของเครื่องรับสัญญาณ ซึ่งก็คือ การปรับแต่งช่องสัญญาณ (Equalisation) โดย “ตัวปรับแต่งช่องสัญญาณ” หรือที่นิยมเรียกทับศัพท์กันว่า “อิควอไลเซอร์ (Equaliser) ” ซึ่งโดยรูปแบบแล้ว ก็คือวงจรกรองสัญญาณดิจิตอล (Digital filter) เพื่อมาแก้ไขอาการผิดเพี้ยนของสัญญาณที่รับได้
ในยุคที่เริ่มมีการรับส่งข้อมูล ระบบต่างๆ ทำงานแบบอนาล็อกทั้งหมด ต่อมาเมื่อเทคโนโลยีทางด้านดิจิตอลได้ก้าวหน้าขึ้นมา จึงได้เริ่มมีการนำเทคโนโลยีดิจิตอลเข้าไปทดแทนแบบอนาล็อกเดิม ทั้งการนำไปทดแทนทั้งหมด เช่น สร้างโครงข่ายชนิดใหม่ หรือนำไปทดแทนบางส่วน เช่นโมเด็ม ทั้งนี้เนื่องจากข้อดีของสัญญาณแบบดิจิตอลนั่นเอง เช่น
1. ให้คุณภาพการรับส่งข้อมูลที่เท่ากันหรือดีกว่าแบบอนาล็อก
2. ง่ายต่อการบำรุงรักษา
3. เพิ่มเติมปรับปรุง หรือเปลี่ยนแปลงความสามารถหรือบริการของระบบได้ง่าย
4. มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูง
5. ทนต่อสัญญาณรบกวนได้ดี
6. สามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบของสัญญาณไปเป็นรูปแบบตามมาตรฐานต่างๆ ได้ง่าย
7. เนื่องจากสัญญาณดิจิตอลสามารถแทนได้ด้วยตัวเลข จึงนำไปทำการคำนวณที่
ซับซ้อนได้ จากจุดนี้เองทำให้เกิดวิธีการบีบอัดข้อมูลและการเข้ารหัสแบบต่างๆ
มากมาย
สัญญาณรบกวนในระบบการสื่อสารทุกระบบสัญญาณที่ได้รับอาจแตกต่างจากสัญญาณที่ส่งมา เนื่องจากความเสียหายในระหว่างการส่ง สำหรับสัญญาณอะนาล็อก ความเสียหาย อาจลดคุณภาพของสัญญาณ ส่วนสัญญาณดิจิตอล ความผิดพลาดของ bit อาจเป็นดังนี้ ไบนารี่ 1 ถูกแปลงเป็นไบนารี่ 0 และเปลี่ยนในทางกลับกันเราจะตรวจสอบความเสียหายประเภทต่างและดูว่ามันมีผลกับความสามารถในการเก็บข้อมูลของลิงค์ การสื่อสารอย่างไร ความเสียหายที่สำคัญที่สุดมีดังต่อไปนี้
- Attenuation and attenuation distortion
- Delay distortion
- Noise
สัญญาณแบบดิจิตอล (Digital Signal)
- จะประกอบขึ้นจากระดับสัญญาณเพียง 2 ค่าคือ สัญญาณระดับสูงสุด และสัญญาณระดับต่ำสุด
- มีประสิทธิภาพ และความน่าเชื่อถือสูงกว่าแบบอนาล็อก เนื่องจากมีการใช้งานค่าสองค่า เพื่อนำมาตีความหมายเป็น on/off หรือ0/1 เท่านั้น
- เป็นสัญญาณที่คอมพิวเตอร์ใช้ในการติดต่อสื่อสาร
ระบบโทรศัพท์มือถือ GSM เราใช้งานกันอยู่ทุกวันนี้ มีองค์ประกอบย่อยๆ โดยเริ่มตั้งแต่ ในส่วนเครื่องส่ง (Transmitter) ที่มีการเข้าระหัสเสียงพูด (Speech coding) โดยใช้ มาตรฐาน GSM 06.10 Speech Coding การเข้ารหัสช่องทางการสื่อสาร (Channel Coding) การมอดูเลชัน (Modulation) และในส่วนของเครื่องรับสัญญาณ(receiver) ที่มีส่วนดีมอดูเลชัน (demodulation) ส่วนถอดระหัส (Decoding) คือ แทบจะเรียกว่าเป็นการกระทำย้อนกลับกับทางฝั่งเครื่องส่ง องค์ประกอบต่างๆ เหล่านี้ เป็นส่วนหลักของระบบสื่อสารดิจิตอล GSM ซึ่ง หากรวมส่วนของช่องสัญญาณ (Channel) ซึ่งเป็นสื่อกลางในการเดินทางของคลื่นสัญญาณ ก็จะสามารถเขียนเป็นบล็อกไดอะแกรมอย่างง่ายของระบบสื่อสารดิจิตอล ด้วยสาเหตุนี้เองทำให้ในระบบ GSM นั้น มีการกำหนดองค์ประกอบเพิ่มเติมขึ้นมาในส่วนของเครื่องรับสัญญาณ ซึ่งก็คือ การปรับแต่งช่องสัญญาณ (Equalisation) โดย “ตัวปรับแต่งช่องสัญญาณ” หรือที่นิยมเรียกทับศัพท์กันว่า “อิควอไลเซอร์ (Equaliser) ” ซึ่งโดยรูปแบบแล้ว ก็คือวงจรกรองสัญญาณดิจิตอล (Digital filter) เพื่อมาแก้ไขอาการผิดเพี้ยนของสัญญาณที่รับได้
การสื่อสารข้อมูล
กลุ่มข่าวสาร หมายถึงศูนย์กลางข้อมูลการสนทนาบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่กลุ่มของผู้ใช้ที่มีความสนใจร่วมกันมารวมตัวกันเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับทุกๆ เรื่อง ตั้งแต่ซอฟต์แวร์ไปถึงหนังสือการ์ตูนจนถึงเรื่องการเมือง ใครก็ตามที่ดูกลุ่มข่าวสารจะสามารถอ่านข้อความกลุ่มข่าวสารที่ติดประกาศในกลุ่มนั้นได้ ซึ่งแตกต่างจากข้อความอีเมลที่สามารถมองเห็นได้เฉพาะผู้ส่งและผู้รับที่ระบุเท่านั้น กลุ่มข่าวสารมีขอบเขตในระดับสากลโดยมีผู้เข้าร่วมจากทั่วทั้งอินเทอร์เน็ต ก่อนที่คุณจะสามารถดูข้อความในกลุ่มข่าวสาร คุณจะต้องมีโปรแกรมอ่านกลุ่มข่าว เช่น Windows Mail คุณจะใช้โปรแกรมอ่านกลุ่มข่าวเพื่อดาวน์โหลดข้อความจากเซิร์ฟเวอร์ข่าวสาร ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) หลายรายมีการให้บริการการเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ข่าวสารต่างๆ สำหรับลูกค้าของตน โดยปกติแล้วเซิร์ฟเวอร์เหล่านี้จะประกอบด้วยกลุ่มข่าวสารนับพันกลุ่มโดยครอบคลุมหัวข้อต่างๆ ที่หลากหลาย บางเซิร์ฟเวอร์ข่าวสารจะประกอบด้วยหัวข้อเฉพาะทาง ตัวอย่างเช่น เซิร์ฟเวอร์ข่าวสาร Microsoft Help Groups ที่ news.microsoft.com จะให้บริการกลุ่มข่าวสารซึ่งเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของ Microsoft ทั้งหมด
ข้อมูลข่าวสาร หมายถึง สิ่งที่สื่อความหมายให้ทราบถึงเรื่องราวหรือข้อเท็จจริงเรื่องหนึ่งเรื่องใด โดยในความหมายนี้เน้นที่การสื่อความหมายเป็นหลัก มิได้เน้นที่รูปร่างหรือรูปแบบของความเป็นข้อมูลข่าวสาร กล่าวคือ สิ่งที่จะเป็นข้อมูลข่าวสารได้นั้น ไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปร่าง หรือรูปแบบของกระดาษที่มีข้อความหรือแฟ้มเอกสาร แต่มีความหมายรวมถึง สิ่งต่างๆ ที่อาจจะปรากฏให้เห็นเป็นข้อความ ตัวเลข สัญลักษณ์ เสียง แสง และสิ่งอื่นๆ ที่ทำให้มนุษย์สามารถเข้าใจและรู้ความหมายได้ ไม่ว่าจะเป็นโดยสภาพของสิ่งนั้นเอง หรือโดยผ่านกรรมวิธีใดๆ เช่น ประจุไฟฟ้าแม่เหล็ก ฟิล์ม ไมโครฟิล์ม รูปภาพ เทปบันทึกเสียง เทปบันทึกภาพ คอมพิวเตอร์ แผ่นบันทึกข้อมูล (Diskette) คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
ข้อมูล (Data) หมายถึง กลุ่มตัวอักขระที่เมื่อนำมารวมกันแล้วมีความหมายอย่างใดอย่างหนึ่งและมีสำคัญควรค่าแก่การจัดเก็บเพื่อนำไปใช้ในโอกาสต่อ ๆ ไป ข้อมูลมักเป็นข้อความที่อธิบายถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาจเป็นตัวอักษร ตัวเลข หรือ สัญลักษณ์ใด ๆ ที่สามารถนำไปประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ได้
สารสนเทศ (Information) หมายถึง ข้อมูลข่าวสาร ความรู้ต่าง ๆ ที่ได้รับการสรุป คำนวณ จัดเรียง หรือประมวลแล้วจากข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบตามหลักวิชาการ จนได้เป็นข้อความรู้ เพื่อนำมาเผยแพร่และใช้ประโยชน์ในงานด้านต่าง ๆ
องค์ประกอบพื้นฐานของระบบสื่อสารข้อมูลการสื่อสารข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์นั้น จะทำได้ก็ต่อเมื่อมีองค์ประกอบต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1. ผู้ส่งหรืออุปกรณ์ส่งข้อมูล (Sender) ข้อมูลต่างๆ ที่อยู่ต้นทางจะต้องจัดเตรียมนำเข้าสู่อุปกรณ์สำหรับส่งข้อมูล ซึ่งได้แก่เครื่องพิมพ์ หรืออุปกรณ์ควบคุมต่าง ๆ จานไมโครเวฟ จานดาวเทียม ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นถูกเปลี่ยนให้อยู่ใน รูปแบบที่สามารถส่งข้อมูลนั้นได้ก่อน
2. ผู้รับหรืออุปกรณ์รับข้อมูล (Receiver) ข้อมูลที่ถูกส่งจากอุปกรณ์ส่งข้อมูลต้นทาง เมื่อไปถึงปลายทางก็จะมีอุปกรณ์สำหรับ รับข้อมูลเหล่านั้นเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป อุปกรณ์เหล่านี้ได้แก่ เครื่องพิมพ์ คอมพิวเตอร์ จานไมโครเวฟ จานดาวเทียม ฯลฯ
3. โปรโตคอล (Protocol) โปรโตคอล คือ กฏระเบียบ หรือวิธีการใช้เป็นข้อกำหนดสำหรับการสื่อสาร เพื่อให้ผู้รับและผู้ส่งเข้าใจกันได้ ซึ่งมีหลายชนิดให้เลือกใช้ เช่น TCP/IP, X.25, SDLC เป็นต้น
4. ซอฟต์แวร์ (Software) การส่งข้อมูลผ่านคอมพิวเตอร์จำเป็นต้องมีโปรแกรมสำหรับดำเนินการ และควบคุมการส่งข้อมูลเพื่อให้ได้ข้อมูลตามที่กำหนดไว้ ได้แก่ Novell’s Netware] UNIX Windows NT ฯลฯ
5. ข่าวสาร (Message) เป็นรายละเอียดซึ่งอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ ที่จะส่งผ่านระบบการสื่อสาร ซึ่งมีหลายรูปแบบดังนี้
5.1 ข้อมูล (Data) เป็นรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ ซึ่งถูกสร้างและจัดเก็บด้วยคอมพิวเตอร์ มีรูปแบบแน่นอน เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคล ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า เป็นต้น ข้อมูลสามารถนับจำนวนได้และส่งผ่านระบบสื่อสารได้เร็ว
5.2 ข้อความ (Text) อยู่ในรูปของเอกสารหรือตัวอักขระ ไม่มีรูปแบบที่แน่นอน ชัดเจนนับจำนวนได้ค่อนข้างยาก และมีความสามารถในการส่งปานกลาง
5.3 รูปภาพ (Image) เป็นข่าวสารที่อยู่ในรูปของภาพกราฟิกแบบต่าง ๆ ได้แก่ รูปภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ภาพวีดีโอ ซึ่งข้อมูลชนิดนี้จะต้องอาศัยสื่อสำหรับเก็บ และใช้หน่วยความจำเป็นจำนวนมาก
5.4 เสียง (Voice) อยู่ในรูปของเสียงพูด เสียงดนตรี หรือเสียงอื่น ๆ ข้อมูลชนิดนี้จะกระจัดกระจาย ไม่สามารถวัดขนาดที่แน่นอนได้ การส่งจะทำได้ด้วยความเร็ว ค่อนข้างต่ำ
6. ตัวกลาง(Medium)เป็นตัวกลางหรือสื่อกลางที่ทำหน้าที่นำข่าวสารในรูปแบบต่าง ๆ จากผู้ส่งหรืออุปกรณ์ส่งต้นทางไปยังผู้รับ หรืออุปกรณ์รับปลายทาง ซึ่งมีหลายรูปแบบได้แก่ สายไฟ ขดลวด สายเคเบิล สายไฟเบอร์ออฟติก ตัวกลางอาจจะอยู่ในรูปของคลื่นที่ส่งผ่านทางอากาศ เช่น คลื่นไมโครเวฟ คลื่นดาวเทียม หรือคลื่นวิทยุ เป็นต้นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์สำหรับสื่อสารข้อมูล เป็นการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ต้นทางเข้ากับคอมพิวเตอร์ปลายทาง โดยใช้ตัวกลางหรือสื่อกลางสำหรับเชื่อมต่อ ซึ่งสามารถทำได้หลายรูปแบบ การต่อแบบสายตรงตามรูปนั้น อาจจะต่อตรงโดยใช้ช่องต่อแบบขนานของเครื่อง ทั้ง 2 เครื่อง เพื่อใช้สำหรับโอนย้ายข้อมูลระหว่างเครื่องได้ หรืออาจจะต่อโดยใช้อินเทอร์เฟสคาร์ดใส่ไว้ใน เครื่องสำหรับเป้นจุดต่อก็ได้ ขึ้นอยู่กับลักษณะของการใช้งานเป็นการเชื่อมต่อ ระยะไกลจากคอมพิวเตอร์ต้นทางไปยังปลายทาง โดยผ่านเครือข่ายโทรศัพท์สาธารณะ
ข้อมูลข่าวสาร หมายถึง สิ่งที่สื่อความหมายให้ทราบถึงเรื่องราวหรือข้อเท็จจริงเรื่องหนึ่งเรื่องใด โดยในความหมายนี้เน้นที่การสื่อความหมายเป็นหลัก มิได้เน้นที่รูปร่างหรือรูปแบบของความเป็นข้อมูลข่าวสาร กล่าวคือ สิ่งที่จะเป็นข้อมูลข่าวสารได้นั้น ไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปร่าง หรือรูปแบบของกระดาษที่มีข้อความหรือแฟ้มเอกสาร แต่มีความหมายรวมถึง สิ่งต่างๆ ที่อาจจะปรากฏให้เห็นเป็นข้อความ ตัวเลข สัญลักษณ์ เสียง แสง และสิ่งอื่นๆ ที่ทำให้มนุษย์สามารถเข้าใจและรู้ความหมายได้ ไม่ว่าจะเป็นโดยสภาพของสิ่งนั้นเอง หรือโดยผ่านกรรมวิธีใดๆ เช่น ประจุไฟฟ้าแม่เหล็ก ฟิล์ม ไมโครฟิล์ม รูปภาพ เทปบันทึกเสียง เทปบันทึกภาพ คอมพิวเตอร์ แผ่นบันทึกข้อมูล (Diskette) คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
ข้อมูล (Data) หมายถึง กลุ่มตัวอักขระที่เมื่อนำมารวมกันแล้วมีความหมายอย่างใดอย่างหนึ่งและมีสำคัญควรค่าแก่การจัดเก็บเพื่อนำไปใช้ในโอกาสต่อ ๆ ไป ข้อมูลมักเป็นข้อความที่อธิบายถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาจเป็นตัวอักษร ตัวเลข หรือ สัญลักษณ์ใด ๆ ที่สามารถนำไปประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ได้
สารสนเทศ (Information) หมายถึง ข้อมูลข่าวสาร ความรู้ต่าง ๆ ที่ได้รับการสรุป คำนวณ จัดเรียง หรือประมวลแล้วจากข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบตามหลักวิชาการ จนได้เป็นข้อความรู้ เพื่อนำมาเผยแพร่และใช้ประโยชน์ในงานด้านต่าง ๆ
องค์ประกอบพื้นฐานของระบบสื่อสารข้อมูลการสื่อสารข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์นั้น จะทำได้ก็ต่อเมื่อมีองค์ประกอบต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1. ผู้ส่งหรืออุปกรณ์ส่งข้อมูล (Sender) ข้อมูลต่างๆ ที่อยู่ต้นทางจะต้องจัดเตรียมนำเข้าสู่อุปกรณ์สำหรับส่งข้อมูล ซึ่งได้แก่เครื่องพิมพ์ หรืออุปกรณ์ควบคุมต่าง ๆ จานไมโครเวฟ จานดาวเทียม ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นถูกเปลี่ยนให้อยู่ใน รูปแบบที่สามารถส่งข้อมูลนั้นได้ก่อน
2. ผู้รับหรืออุปกรณ์รับข้อมูล (Receiver) ข้อมูลที่ถูกส่งจากอุปกรณ์ส่งข้อมูลต้นทาง เมื่อไปถึงปลายทางก็จะมีอุปกรณ์สำหรับ รับข้อมูลเหล่านั้นเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป อุปกรณ์เหล่านี้ได้แก่ เครื่องพิมพ์ คอมพิวเตอร์ จานไมโครเวฟ จานดาวเทียม ฯลฯ
3. โปรโตคอล (Protocol) โปรโตคอล คือ กฏระเบียบ หรือวิธีการใช้เป็นข้อกำหนดสำหรับการสื่อสาร เพื่อให้ผู้รับและผู้ส่งเข้าใจกันได้ ซึ่งมีหลายชนิดให้เลือกใช้ เช่น TCP/IP, X.25, SDLC เป็นต้น
4. ซอฟต์แวร์ (Software) การส่งข้อมูลผ่านคอมพิวเตอร์จำเป็นต้องมีโปรแกรมสำหรับดำเนินการ และควบคุมการส่งข้อมูลเพื่อให้ได้ข้อมูลตามที่กำหนดไว้ ได้แก่ Novell’s Netware] UNIX Windows NT ฯลฯ
5. ข่าวสาร (Message) เป็นรายละเอียดซึ่งอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ ที่จะส่งผ่านระบบการสื่อสาร ซึ่งมีหลายรูปแบบดังนี้
5.1 ข้อมูล (Data) เป็นรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ ซึ่งถูกสร้างและจัดเก็บด้วยคอมพิวเตอร์ มีรูปแบบแน่นอน เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคล ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า เป็นต้น ข้อมูลสามารถนับจำนวนได้และส่งผ่านระบบสื่อสารได้เร็ว
5.2 ข้อความ (Text) อยู่ในรูปของเอกสารหรือตัวอักขระ ไม่มีรูปแบบที่แน่นอน ชัดเจนนับจำนวนได้ค่อนข้างยาก และมีความสามารถในการส่งปานกลาง
5.3 รูปภาพ (Image) เป็นข่าวสารที่อยู่ในรูปของภาพกราฟิกแบบต่าง ๆ ได้แก่ รูปภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ภาพวีดีโอ ซึ่งข้อมูลชนิดนี้จะต้องอาศัยสื่อสำหรับเก็บ และใช้หน่วยความจำเป็นจำนวนมาก
5.4 เสียง (Voice) อยู่ในรูปของเสียงพูด เสียงดนตรี หรือเสียงอื่น ๆ ข้อมูลชนิดนี้จะกระจัดกระจาย ไม่สามารถวัดขนาดที่แน่นอนได้ การส่งจะทำได้ด้วยความเร็ว ค่อนข้างต่ำ
6. ตัวกลาง(Medium)เป็นตัวกลางหรือสื่อกลางที่ทำหน้าที่นำข่าวสารในรูปแบบต่าง ๆ จากผู้ส่งหรืออุปกรณ์ส่งต้นทางไปยังผู้รับ หรืออุปกรณ์รับปลายทาง ซึ่งมีหลายรูปแบบได้แก่ สายไฟ ขดลวด สายเคเบิล สายไฟเบอร์ออฟติก ตัวกลางอาจจะอยู่ในรูปของคลื่นที่ส่งผ่านทางอากาศ เช่น คลื่นไมโครเวฟ คลื่นดาวเทียม หรือคลื่นวิทยุ เป็นต้นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์สำหรับสื่อสารข้อมูล เป็นการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ต้นทางเข้ากับคอมพิวเตอร์ปลายทาง โดยใช้ตัวกลางหรือสื่อกลางสำหรับเชื่อมต่อ ซึ่งสามารถทำได้หลายรูปแบบ การต่อแบบสายตรงตามรูปนั้น อาจจะต่อตรงโดยใช้ช่องต่อแบบขนานของเครื่อง ทั้ง 2 เครื่อง เพื่อใช้สำหรับโอนย้ายข้อมูลระหว่างเครื่องได้ หรืออาจจะต่อโดยใช้อินเทอร์เฟสคาร์ดใส่ไว้ใน เครื่องสำหรับเป้นจุดต่อก็ได้ ขึ้นอยู่กับลักษณะของการใช้งานเป็นการเชื่อมต่อ ระยะไกลจากคอมพิวเตอร์ต้นทางไปยังปลายทาง โดยผ่านเครือข่ายโทรศัพท์สาธารณะ
PAM ( Pulse amplitude Modulation )
PAM ( Pulse amplitude Modulation )
จะเกิดจากการสุ่มตัวอย่าง (Sampling) สัญญาณ Analog ตามช่วงเวลาที่เท่าๆกันและใช้ตัวอย่างเหล่านี้แทนสัญญาณ Analog
การโมดูเลตทางแอมปลิจูดของพัลส์ (PAM)
โดยอาศัยหลักการแซมปิง หรือ การชักตัวอย่าง (Sampling) ของสัญญาณที่เป็นอนาล็อก (ต่อเนื่อง) ตามช่วงเวลาให้สัญญาณนั้นขาดจากกันเป็นพัลส์ๆ โดยขนาดของแต่ละพัลส์จะเท่ากับขนาดของสัญญาณเดิมในช่วงเวลานั้นๆ ทางทฤษฎีการแซมปิงจะทำด้วยอัตราสองเท่าของแบนด์วิธของสัญญาณอนาล็อกเป็นจำนวนครั้งต่อวินาที (อัตราแซมปิง = 2 BW เฮิรตซ์) ยิ่งถ้าซิมปิงสัญญาณด้วยอัตราน้อยเท่าไร เราก็จะได้สัญญาณพัลส์ที่ใกล้เคียงกับสัญญาณเดิมมากที่สุด แต่ถ้าอัตราน้อยเกินไปสัญญาณก็จะกลับไปเป็นสัญญาณอนาล็อกเหมือนเดิม
การโมดูเลตแบบรหัสพัลส์ (PCM)
เนื่องจากขนาดของพัลส์ใน PAM ยังคงเป็นแบบต่อเนื่องการส่งสัญญาณแบบ PAM จึงไม่ได้ต่างอะไรกับการส่งสัญญาณอนาล็อกเลย ดังนั้นในวิธีการส่งแบบ PCM จึงมีขั้นตอนในการทำให้ขนาดของสัญญาณของข้อมูลเป็นแบบไม่ต่อเนื่องก่อน ด้วยวิธีที่เรียกว่า การควอนไทซ์ (Quantize) ขั้นตอนการแปลงสัญญาณอนาล็อกให้เป็นสัญญาณดิจิตอลโดยวิธี PCM มีดังนี้
ขั้นตอนการโมดูเลตแบบ PCM มีดังนี้
1. ทำการ "ควอนไทซ์" สัญญาณอนาล็อก โดยทำให้ค่าขนาดของสัญญาณเป็นค่าที่ไม่ต่อเนื่อง เสียก่อน
2. จากนั้นทำการ "แซมปิง" สัญญาณด้วยอัตราที่เหมาะสม เราก็จะได้สัญญาณ PAM ซึ่งในแต่ละพัลส์นั้นสามารถจะกำหนด รหัสแทนพัลส์ ได้ด้วยรหัสของเลขฐานสอง
3. รหัสของแต่ละพัลส์ก็จะถูกส่งออกไปในรูปแบบของเลขฐานสองเมื่อสัญญาณ PCM
Pulse Code Modulation
เกี่ยวข้องกับการแปลงสัญญาณอนาล็อก เช่น สัญญาณโทรศัพท์ ให้เป็นขบวนพัลส์ (pulse train) ในรูปของรหัส (code) ซึ่งมีแอมปลิจูดคงที่ แล้วส่งไปในช่องส่งสัญญาณ ส่วนปลายทางด้านรับขบวนพัลส์ดังกล่าวจะถูกแปลงกลับเป็นสัญญาณอนาล็อก ดังเดิมการส่งขบวนพัลส์นี้เป็นลักษณะของ Digital Transmission ซึ่งมีข้อได้เปรียบเหนือ analog transmission ในเรื่องภูมิคุ้มกันต่อสัญญาณรบกวน (noise)และความเพี้ยนต่าง ๆ การเปลี่ยนสัญญาณอนาล็อกเป็นดิจิตอล ประกอบด้วยหลักการใหญ่ ๆ 3 ประการ คือ
1. การสุ่มตัวอย่าง (sampling) ซึ่งเราจะได้ขบวนพัลส์ตัวอย่าง (sample pulse) หรือ PAM
2. การนำสัญญาณ PAM มาจัดระดับแอมปลิจูดใหม่ (Quantizing)
3. การนำ PAM แต่ลูกไปเข้ารหัส (coding)
หลักการของ Pulse Code Modulation
จะเกิดจากการทำ Quantize สัญญาณ Analog ก่อน แล้วทำขบวนการ PAM จากนั้นก็จะส่งเป็นสัญญาณ Digital ต่อไป
การปฏิบัติการขั้นแรก คือ การสุ่มตัวอย่าง (sampling) จากสัญญาณอนาล็อก ด้วยวงจร Sampler ซึ่งจะได้พัลส์ที่มีแอมปลิจูดเท่ากับสัญญาณอนาล็อก ณ เวลาที่ทำการสุ่มนั้นๆ และสัญญาณที่ได้ในขั้นตอนนี้เรียกว่า "สัญญาณ PAM" (Pulse Amplitude Modulation) สัญญาณ PAM นี้ จะถูกป้อนเข้าที่วงจร Quantizer ซึ่งจะทำหน้าที่จัดระดับแอมปลิจูด สัญญาณ PAM ใหม่ ให้ใกล้เคียงกับค่าอ้างอิงที่กำหนดไว้ ขั้นต่อไปคือการแปลงสัญญาณ PAM แต่ละพัลส์ให้เป็น Binary code โดยวงจรเข้ารหัส ( encoder) ซึ่งขบวนพัลส์ที่ได้ในขั้นตอนนี้เรียกว่า "สัญญาณ PCM"ซึ่งจะถูกส่งเข้าไปในสายส่งสัญญาณ เมื่อถึงปลายทางด้านรับ สัญญาณ PCM จะถูกแปลงกลับเป็นสัญญาณอนาล็อก ตามเดิม โดยวงจรถอดรหัส (Decoder) ซึ่งจะทำหน้าที่แปลงสัญญาณ PCM กลับเป็นสัญญาณ PAM แล้วส่งสัญญาณ PAM เข้าวงจร Low Pass Filter เพื่อแยกเอาสัญญาณข่าสารอนาล็อกเดิมกลับคืนมา (Reconstruction)
การสุ่มตัวอย่าง (Sampling)
ตามที่ทราบกันดีแล้วว่าการ sampling คือการแปลงสัญญาณที่มีค่าต่อเนื่อง (analog) ให้เป็นสัญญาณแบบ discrete (พัลส์) และตามที่กล่าวมาแล้วว่า ทฤษฎีการ sampling นั้น ถ้าเก็บตัวอย่างด้วยอัตรา 2 เท่าหรือมากกว่าความถี่สูงสุดของสัญญาณอนาล็อกแล้ว เราจะสามารถทำให้สัญญาณเดิมกลับคืนมาได้ เช่น สัญญาณเสียงที่ใช้ในระบบโทรศัพท์ถูกจำกัดให้มีความถี่ระหว่าง 0.3 - 3.4 kHz ดังนั้นอัตราการ sampling ต่ำสุดต้องใช้เท่ากับ 6.8 kHz แต่สำหรับในทางปฏิบัติจะใช้ 8 kHz คือ sampling ทุกๆ 125 mS ในการ sampling นี้ จะแปลงสัญญาณอนาล็อกให้เป็นขบวนพัลส์ ซึ่งเรียกว่า PAM และการ sampling จะได้ผลดี ต้องมีเงื่อนไข ( ตามอุดมคติ)ดังต่อไปนี้
- สัญญาณอินพุตต้องไม่มีองค์ประกอบเกินความถี่สูงสุด f0 (เช่นเกินกว่า 3.4 kHz)
- ขบวนพัลส์ที่ใช้ควบคุมการ sampling จะต้องเป็นอิมพัลส์ (Impulse) คือมีความกว้างเท่ากับศูนย์และมีแอมปลิจูดเป็นอนันต์
- ทางด้านรับต้องใช้วงจรกรองความถี่ต่ำตามอุดมคติ (ideal low pass filter) ซึ่งยอมให้ความถี่ต่ำกว่า f0 ผ่านได้ทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติจะไม่สามารถทำให้เป็นไปตามเงื่อนไขดังกล่าวข้างต้นได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อเป็นเช่นนี้สัญญาณที่ ดีมอดูเลตได้จะมีความพร่าเพี้ยนเกิดขึ้นเสมอ คือ การพร่าเพี้ยนที่เกิดจากแถบคลื่นซ้อนทับกัน (Aliasing distortion)ถ้าความถี่สูงสุดของสัญญาณอินพุตเป็น f0 และความถี่ที่ใช้ในการ sampling เป็น fS เมื่อ fS >2 f0
วงจรกรองความถี่ต่ำทางด้านรับ จะขจัดองค์ประกอบความถี่ที่มากกว่า f0 ออก ทำให้ง่ายต่อการสร้างสัญญาณเดิมให้กลับคืนมาได้ ตามรูป 2 (ก) แต่ถ้าสัญญาณอินพุตมีองค์ประกอบความถี่สูงกว่า fS / 2 รวมอยู่ด้วย จะทำให้ขบวนพัลส์ที่ได้รับ มีสเปกตรัมเกิดขึ้นตามรูปที่ 2 (ข) ซึ่งจะเห็นว่ามีความถี่สเปกตรัมซ้อนกันระหว่างสัญญาณเดิม (original) กับ LSB ของ fs จึงเป็นการยากที่จะทำให้สัญญาณเดิมกลับคืนมาได้อย่างสมบูรณ์ แม้วงจรกรองความถี่จะกรองความถี่ที่สูงกว่า f0 ออกไปแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงเหลือ noise ปนอยู่กับสัญญาณที่ ดีมอดูเลตแล้ว ปรากฏการณ์เช่นนี้เรียกว่า "Aliasing distortion
การจัดระดับ (Quantizing)
ขบวนพัลส์ PAM ที่ผ่านการ sampling มาแล้ว ยังถือว่าเป็นชนิดอนาล็อกอยู่ คือมันจะมีแอมปลิจูดที่เปลี่ยนแปลงเป็นช่วงๆ การจัดระดับคือกระบวนการที่จะเปลี่ยนแอมปลิจูดของ PAM เหล่านั้นให้เป็นค่าตัวเลขที่ลงตัว (แบบ discrete) ตามที่แสดงไว้ในรูปที่ 4
จากรูปที่ 6 แอมปลิจูดของพัลส์ PAM ทุกตัวจะถูกจัดให้เป็นระดับตัวเลขที่ลงตัว ซึ่งเรียกว่า "ระดับควอนไตซ์" (Quantizing Level) โดยมีระยะห่างระหว่างระดับข้างเคียง เรียกว่า " ควอนไตซิ่งอินเทอร์วัล" (Quantizing interval) หรือ Quantizing step เท่ากัน กรณีนี้เรียกว่า " การจัดระดับแบบยูนิฟอร์ม หรือแบบลิเนียร์ " (Uniform Quantizing) ขนาดของพัลส์ PAM ทุกตัว จะแสดงด้วยค่าระดับควอนไตซ์ ที่ใกล้เคียงที่สุด เช่นขนาดของพัลส์ PAM ที่เวลา t = t1 คือ 2.8 จะจัดให้เป็นระดับ 3 หรือค่าที่เวลา t = t2 มีขนาด 6.2 จะถูกจัดให้เป็น 6 เป็นต้นจะเห็นว่าสัญญาณ PAM ที่ถูกจัดระดับใหม่แล้วนี้จะเป็นเพียงค่าโดยประมาณของสัญญาณอนาล็อกเดิมเท่านั้น ดังนั้นส่วนเกินและส่วนขาดจากการจัดระดับ จึงเป็นค่าผิดพลาดระหว่างสัญญาณเดิมและค่าที่ได้จัดระดับใหม่ ซึ่งค่าผิดพลาดนี้เรียกว่า "Quantizing noise" หรือความพร่าเพี้ยนจากการควอนไตซ์ (Quantizing Distortion)
การเข้ารหัส (Coding)
หลังจากขบวนพัลส์ PAM ได้ผ่านขั้นตอนการ quantizing มาแล้ว เราจะต้องเปลี่ยนแอมปลิจูดของพัลส์ PAM แต่ละพัลส์ ให้เป็นเลขไบนารี (binary code) กรณีที่เป็นสัญญาณเสียงสำหรับการส่งทางโทรศัพท์นั้น พัลส์ PAM จะถูกเปลี่ยนเป็นรหัส 8 บิต ซึ่งสามารถแทนค่าแอมปลิจูดได้ 28 (=256) ค่า การจัดระดับระบบการเข้ารหัสมีหลายแบบ แต่ส่วนมากจะใช้กัน 3 แบบ ดังตาราง 7ซึ่งแสดงไว้เพียง 3 บิต เพื่อง่ายต่อการเข้าใจ
Regenerative repeater สัญญาณดิจิตอลที่ถูกส่งออกไปจะถูกบั่นทอน (Attenuated) และเกิดความเพี้ยน (Distortion)
ในระหว่างการส่ง และอาจมี noise แทรกเข้ามา ดังนั้นในบางจุดของสายรับ-ส่งสัญญาณจึงต้องมีการกระทำให้สัญญาณกลับสู่สภาพเดิมการกระทำนี้ทำโดยการใส่อุปกรณ์เข้าไปที่ช่องสัญญาณระหว่างเส้นทางรับ-ส่ง ซึ่งอุปกรณ์นี้จะทำการผลิตและส่งพัลส์อันใหม่โดยอาศัยผลจากการตรวจพัลส์เดิมที่เข้ามาที่อินพุตของอุปกรณ์
อุปกรณ์ที่มีการทำงานแบบนี้เรียกว่า "Regenerative repeater" ดังรูปที่ 5.5 Regenerative repeater มีหลักการทำงาน 3 ประการ คือ
o Reshaping
o Retiming
o Regeneration
สัญญาณพัลส์จากภาคส่งที่ถูกบั่นทอน (Attenuated) และเกิดความเพี้ยน (Distortion) เมื่ออินพุตของเครื่องทวนสัญญาณได้รับสัญญาณเข้ามา จะถูกป้อนผ่าน Preamplifier และ Equalizer เพื่อที่จะ Reshapeให้เป็นรูปคลื่นใกล้เคียงกับพัลส์ดังเดิมและยังมีกระบวนการ Detection สัญญาณที่รับเข้ามาเพื่อสร้างสัญญาณ Timing ซึ่งจะถูกใช้ในการ sampling เพื่อสร้างพัลส์ใหม่ (Regeneration) และตัดสิน (Making decision) ว่าเป็นลอจิก 1 หรือ 0
จะเกิดจากการสุ่มตัวอย่าง (Sampling) สัญญาณ Analog ตามช่วงเวลาที่เท่าๆกันและใช้ตัวอย่างเหล่านี้แทนสัญญาณ Analog
การโมดูเลตทางแอมปลิจูดของพัลส์ (PAM)
โดยอาศัยหลักการแซมปิง หรือ การชักตัวอย่าง (Sampling) ของสัญญาณที่เป็นอนาล็อก (ต่อเนื่อง) ตามช่วงเวลาให้สัญญาณนั้นขาดจากกันเป็นพัลส์ๆ โดยขนาดของแต่ละพัลส์จะเท่ากับขนาดของสัญญาณเดิมในช่วงเวลานั้นๆ ทางทฤษฎีการแซมปิงจะทำด้วยอัตราสองเท่าของแบนด์วิธของสัญญาณอนาล็อกเป็นจำนวนครั้งต่อวินาที (อัตราแซมปิง = 2 BW เฮิรตซ์) ยิ่งถ้าซิมปิงสัญญาณด้วยอัตราน้อยเท่าไร เราก็จะได้สัญญาณพัลส์ที่ใกล้เคียงกับสัญญาณเดิมมากที่สุด แต่ถ้าอัตราน้อยเกินไปสัญญาณก็จะกลับไปเป็นสัญญาณอนาล็อกเหมือนเดิม
การโมดูเลตแบบรหัสพัลส์ (PCM)
เนื่องจากขนาดของพัลส์ใน PAM ยังคงเป็นแบบต่อเนื่องการส่งสัญญาณแบบ PAM จึงไม่ได้ต่างอะไรกับการส่งสัญญาณอนาล็อกเลย ดังนั้นในวิธีการส่งแบบ PCM จึงมีขั้นตอนในการทำให้ขนาดของสัญญาณของข้อมูลเป็นแบบไม่ต่อเนื่องก่อน ด้วยวิธีที่เรียกว่า การควอนไทซ์ (Quantize) ขั้นตอนการแปลงสัญญาณอนาล็อกให้เป็นสัญญาณดิจิตอลโดยวิธี PCM มีดังนี้
ขั้นตอนการโมดูเลตแบบ PCM มีดังนี้
1. ทำการ "ควอนไทซ์" สัญญาณอนาล็อก โดยทำให้ค่าขนาดของสัญญาณเป็นค่าที่ไม่ต่อเนื่อง เสียก่อน
2. จากนั้นทำการ "แซมปิง" สัญญาณด้วยอัตราที่เหมาะสม เราก็จะได้สัญญาณ PAM ซึ่งในแต่ละพัลส์นั้นสามารถจะกำหนด รหัสแทนพัลส์ ได้ด้วยรหัสของเลขฐานสอง
3. รหัสของแต่ละพัลส์ก็จะถูกส่งออกไปในรูปแบบของเลขฐานสองเมื่อสัญญาณ PCM
Pulse Code Modulation
เกี่ยวข้องกับการแปลงสัญญาณอนาล็อก เช่น สัญญาณโทรศัพท์ ให้เป็นขบวนพัลส์ (pulse train) ในรูปของรหัส (code) ซึ่งมีแอมปลิจูดคงที่ แล้วส่งไปในช่องส่งสัญญาณ ส่วนปลายทางด้านรับขบวนพัลส์ดังกล่าวจะถูกแปลงกลับเป็นสัญญาณอนาล็อก ดังเดิมการส่งขบวนพัลส์นี้เป็นลักษณะของ Digital Transmission ซึ่งมีข้อได้เปรียบเหนือ analog transmission ในเรื่องภูมิคุ้มกันต่อสัญญาณรบกวน (noise)และความเพี้ยนต่าง ๆ การเปลี่ยนสัญญาณอนาล็อกเป็นดิจิตอล ประกอบด้วยหลักการใหญ่ ๆ 3 ประการ คือ
1. การสุ่มตัวอย่าง (sampling) ซึ่งเราจะได้ขบวนพัลส์ตัวอย่าง (sample pulse) หรือ PAM
2. การนำสัญญาณ PAM มาจัดระดับแอมปลิจูดใหม่ (Quantizing)
3. การนำ PAM แต่ลูกไปเข้ารหัส (coding)
หลักการของ Pulse Code Modulation
จะเกิดจากการทำ Quantize สัญญาณ Analog ก่อน แล้วทำขบวนการ PAM จากนั้นก็จะส่งเป็นสัญญาณ Digital ต่อไป
การปฏิบัติการขั้นแรก คือ การสุ่มตัวอย่าง (sampling) จากสัญญาณอนาล็อก ด้วยวงจร Sampler ซึ่งจะได้พัลส์ที่มีแอมปลิจูดเท่ากับสัญญาณอนาล็อก ณ เวลาที่ทำการสุ่มนั้นๆ และสัญญาณที่ได้ในขั้นตอนนี้เรียกว่า "สัญญาณ PAM" (Pulse Amplitude Modulation) สัญญาณ PAM นี้ จะถูกป้อนเข้าที่วงจร Quantizer ซึ่งจะทำหน้าที่จัดระดับแอมปลิจูด สัญญาณ PAM ใหม่ ให้ใกล้เคียงกับค่าอ้างอิงที่กำหนดไว้ ขั้นต่อไปคือการแปลงสัญญาณ PAM แต่ละพัลส์ให้เป็น Binary code โดยวงจรเข้ารหัส ( encoder) ซึ่งขบวนพัลส์ที่ได้ในขั้นตอนนี้เรียกว่า "สัญญาณ PCM"ซึ่งจะถูกส่งเข้าไปในสายส่งสัญญาณ เมื่อถึงปลายทางด้านรับ สัญญาณ PCM จะถูกแปลงกลับเป็นสัญญาณอนาล็อก ตามเดิม โดยวงจรถอดรหัส (Decoder) ซึ่งจะทำหน้าที่แปลงสัญญาณ PCM กลับเป็นสัญญาณ PAM แล้วส่งสัญญาณ PAM เข้าวงจร Low Pass Filter เพื่อแยกเอาสัญญาณข่าสารอนาล็อกเดิมกลับคืนมา (Reconstruction)
การสุ่มตัวอย่าง (Sampling)
ตามที่ทราบกันดีแล้วว่าการ sampling คือการแปลงสัญญาณที่มีค่าต่อเนื่อง (analog) ให้เป็นสัญญาณแบบ discrete (พัลส์) และตามที่กล่าวมาแล้วว่า ทฤษฎีการ sampling นั้น ถ้าเก็บตัวอย่างด้วยอัตรา 2 เท่าหรือมากกว่าความถี่สูงสุดของสัญญาณอนาล็อกแล้ว เราจะสามารถทำให้สัญญาณเดิมกลับคืนมาได้ เช่น สัญญาณเสียงที่ใช้ในระบบโทรศัพท์ถูกจำกัดให้มีความถี่ระหว่าง 0.3 - 3.4 kHz ดังนั้นอัตราการ sampling ต่ำสุดต้องใช้เท่ากับ 6.8 kHz แต่สำหรับในทางปฏิบัติจะใช้ 8 kHz คือ sampling ทุกๆ 125 mS ในการ sampling นี้ จะแปลงสัญญาณอนาล็อกให้เป็นขบวนพัลส์ ซึ่งเรียกว่า PAM และการ sampling จะได้ผลดี ต้องมีเงื่อนไข ( ตามอุดมคติ)ดังต่อไปนี้
- สัญญาณอินพุตต้องไม่มีองค์ประกอบเกินความถี่สูงสุด f0 (เช่นเกินกว่า 3.4 kHz)
- ขบวนพัลส์ที่ใช้ควบคุมการ sampling จะต้องเป็นอิมพัลส์ (Impulse) คือมีความกว้างเท่ากับศูนย์และมีแอมปลิจูดเป็นอนันต์
- ทางด้านรับต้องใช้วงจรกรองความถี่ต่ำตามอุดมคติ (ideal low pass filter) ซึ่งยอมให้ความถี่ต่ำกว่า f0 ผ่านได้ทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติจะไม่สามารถทำให้เป็นไปตามเงื่อนไขดังกล่าวข้างต้นได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อเป็นเช่นนี้สัญญาณที่ ดีมอดูเลตได้จะมีความพร่าเพี้ยนเกิดขึ้นเสมอ คือ การพร่าเพี้ยนที่เกิดจากแถบคลื่นซ้อนทับกัน (Aliasing distortion)ถ้าความถี่สูงสุดของสัญญาณอินพุตเป็น f0 และความถี่ที่ใช้ในการ sampling เป็น fS เมื่อ fS >2 f0
วงจรกรองความถี่ต่ำทางด้านรับ จะขจัดองค์ประกอบความถี่ที่มากกว่า f0 ออก ทำให้ง่ายต่อการสร้างสัญญาณเดิมให้กลับคืนมาได้ ตามรูป 2 (ก) แต่ถ้าสัญญาณอินพุตมีองค์ประกอบความถี่สูงกว่า fS / 2 รวมอยู่ด้วย จะทำให้ขบวนพัลส์ที่ได้รับ มีสเปกตรัมเกิดขึ้นตามรูปที่ 2 (ข) ซึ่งจะเห็นว่ามีความถี่สเปกตรัมซ้อนกันระหว่างสัญญาณเดิม (original) กับ LSB ของ fs จึงเป็นการยากที่จะทำให้สัญญาณเดิมกลับคืนมาได้อย่างสมบูรณ์ แม้วงจรกรองความถี่จะกรองความถี่ที่สูงกว่า f0 ออกไปแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงเหลือ noise ปนอยู่กับสัญญาณที่ ดีมอดูเลตแล้ว ปรากฏการณ์เช่นนี้เรียกว่า "Aliasing distortion
การจัดระดับ (Quantizing)
ขบวนพัลส์ PAM ที่ผ่านการ sampling มาแล้ว ยังถือว่าเป็นชนิดอนาล็อกอยู่ คือมันจะมีแอมปลิจูดที่เปลี่ยนแปลงเป็นช่วงๆ การจัดระดับคือกระบวนการที่จะเปลี่ยนแอมปลิจูดของ PAM เหล่านั้นให้เป็นค่าตัวเลขที่ลงตัว (แบบ discrete) ตามที่แสดงไว้ในรูปที่ 4
จากรูปที่ 6 แอมปลิจูดของพัลส์ PAM ทุกตัวจะถูกจัดให้เป็นระดับตัวเลขที่ลงตัว ซึ่งเรียกว่า "ระดับควอนไตซ์" (Quantizing Level) โดยมีระยะห่างระหว่างระดับข้างเคียง เรียกว่า " ควอนไตซิ่งอินเทอร์วัล" (Quantizing interval) หรือ Quantizing step เท่ากัน กรณีนี้เรียกว่า " การจัดระดับแบบยูนิฟอร์ม หรือแบบลิเนียร์ " (Uniform Quantizing) ขนาดของพัลส์ PAM ทุกตัว จะแสดงด้วยค่าระดับควอนไตซ์ ที่ใกล้เคียงที่สุด เช่นขนาดของพัลส์ PAM ที่เวลา t = t1 คือ 2.8 จะจัดให้เป็นระดับ 3 หรือค่าที่เวลา t = t2 มีขนาด 6.2 จะถูกจัดให้เป็น 6 เป็นต้นจะเห็นว่าสัญญาณ PAM ที่ถูกจัดระดับใหม่แล้วนี้จะเป็นเพียงค่าโดยประมาณของสัญญาณอนาล็อกเดิมเท่านั้น ดังนั้นส่วนเกินและส่วนขาดจากการจัดระดับ จึงเป็นค่าผิดพลาดระหว่างสัญญาณเดิมและค่าที่ได้จัดระดับใหม่ ซึ่งค่าผิดพลาดนี้เรียกว่า "Quantizing noise" หรือความพร่าเพี้ยนจากการควอนไตซ์ (Quantizing Distortion)
การเข้ารหัส (Coding)
หลังจากขบวนพัลส์ PAM ได้ผ่านขั้นตอนการ quantizing มาแล้ว เราจะต้องเปลี่ยนแอมปลิจูดของพัลส์ PAM แต่ละพัลส์ ให้เป็นเลขไบนารี (binary code) กรณีที่เป็นสัญญาณเสียงสำหรับการส่งทางโทรศัพท์นั้น พัลส์ PAM จะถูกเปลี่ยนเป็นรหัส 8 บิต ซึ่งสามารถแทนค่าแอมปลิจูดได้ 28 (=256) ค่า การจัดระดับระบบการเข้ารหัสมีหลายแบบ แต่ส่วนมากจะใช้กัน 3 แบบ ดังตาราง 7ซึ่งแสดงไว้เพียง 3 บิต เพื่อง่ายต่อการเข้าใจ
Regenerative repeater สัญญาณดิจิตอลที่ถูกส่งออกไปจะถูกบั่นทอน (Attenuated) และเกิดความเพี้ยน (Distortion)
ในระหว่างการส่ง และอาจมี noise แทรกเข้ามา ดังนั้นในบางจุดของสายรับ-ส่งสัญญาณจึงต้องมีการกระทำให้สัญญาณกลับสู่สภาพเดิมการกระทำนี้ทำโดยการใส่อุปกรณ์เข้าไปที่ช่องสัญญาณระหว่างเส้นทางรับ-ส่ง ซึ่งอุปกรณ์นี้จะทำการผลิตและส่งพัลส์อันใหม่โดยอาศัยผลจากการตรวจพัลส์เดิมที่เข้ามาที่อินพุตของอุปกรณ์
อุปกรณ์ที่มีการทำงานแบบนี้เรียกว่า "Regenerative repeater" ดังรูปที่ 5.5 Regenerative repeater มีหลักการทำงาน 3 ประการ คือ
o Reshaping
o Retiming
o Regeneration
สัญญาณพัลส์จากภาคส่งที่ถูกบั่นทอน (Attenuated) และเกิดความเพี้ยน (Distortion) เมื่ออินพุตของเครื่องทวนสัญญาณได้รับสัญญาณเข้ามา จะถูกป้อนผ่าน Preamplifier และ Equalizer เพื่อที่จะ Reshapeให้เป็นรูปคลื่นใกล้เคียงกับพัลส์ดังเดิมและยังมีกระบวนการ Detection สัญญาณที่รับเข้ามาเพื่อสร้างสัญญาณ Timing ซึ่งจะถูกใช้ในการ sampling เพื่อสร้างพัลส์ใหม่ (Regeneration) และตัดสิน (Making decision) ว่าเป็นลอจิก 1 หรือ 0
วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
MIS
MIS ย่อมาจาก Management Information System การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในงานอุตสาหกรรมหรือเป็นระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร เพื่อที่จะให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว ทันใจและความสะดวกสบายโดยจะรวมทั้ง สารสนเทศภายในและภายนอก สารสนเทศที่เกี่ยวพันกับองค์กรทั้งในอดีตและปัจจุบัน รวมทั้งสิ่งที่คาดว่าจะเป็นในอนาคต นอกจากนี้ระบบเอ็มไอเอสจะต้องการให้สารสนเทศเป็นช่วงเวลาที่เป็นประโยชน์ เพื่อให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจในการวางแผนการควบคุม และการปฏิบัติการขององค์กรได้อย่างถูกต้อง แม้ว่าผู้บริหารที่จะได้รับประโยชน์จาก ระบบเอ็มไอเอสสูงสุดคือผู้บริหารระดับกลาง แต่โดยพื้นฐานของระบบเอ็มไอเอสแล้ว จะเป็นระบบสามารถสนับสนุนข้อมูลให้ ผู้บริหารทั้งสามระดับ คือทั้งผู้บริหารระดับต้น ผู้บริหารระดับกลาง และผู้บริหารระดับสูง โดยระบบเอ็มไอเอสจะให้รายงาน ที่สรุปสารสนเทศซึ่งรวบรวมจากฐานข้อมูลทั้งหมดของบริษัท จุดประสงค์ของรายงานจะเน้นให้ผู้บริหารสามารถมองเห็นแนวโน้ม และภาพรวม ขององค์กรในปัจจุบัน รวมทั้งามารถควบคุมและตรวจสอบงานของระดับปฏิบัติการด้วย อย่างไรก็ดี ขอบเขตของรายงาน จะขึ้นอยู่กับ ลักษณะของสารสนเทศ และจุดประสงค์การใช้งาน โดยอาจมีรายงานที่ออกทุกคาบระยะเวลา (เช่น งบกำไรขาดทุนหรืองบดุล) รายงานตามความต้องการ หรือรายงานตามสภาวะการณ์หรือเหตุผิดปกติเป็นระบบการจัดหาคนหรือข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กับข้อมูลเพื่อการดำเนินงานขององค์การการจัดโครงสร้างของสารสนเทศโดยแบ่งตามลำดับการนำไปใช้งานสามารถแบ่งได้ 4 ระดับดังนี้
1. ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการในการวางแผนนโยบาย กลยุทธ์ และการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูง
2. ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการในส่วนยุทธวิธีในการวางแผนการปฏิบัตและการตัดสินใจของผู้บริหารระดับกลาง
3. ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการในระดับปฎิบัติการและการควบคุมในขั้นตอนนี้ผู้บริหารระดับล่างจะเป็นผู้ใช้สารสนเทศเพื่อช่วยในการปฎิบัติงาน
4. ระบบสารสนเทศที่ได้จากการประมวลผล
ระบบสารสนเทศเป็นระบบรวมทั้งนี้เนื่องจากไม่สามารถเก็บรวบรวมในลักษณะระบบเดียวเนื่องจากขนาดข้อมูลมีขนาดใหญ่และมีความซับซ้อนมาก ทำให้การบริหารข้อมูลทำได้อยาก การนำไปใช้ไม่สะดวก จึงจำเป็นต้องแบ่งระบบสารสนเทศออกเป็นระบบย่อย 4 ส่วนได้แก่
1. ระบบประมวลผลรายการ (Transaction Processing System :TPS)
2. ระบบจัดการรายงาน (Management Reporting System :MRS)
3. ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support System :DSS)
4. ระบบสารสนเทศสำนักงาน (Office Information System :OIS)
ลักษณะของระบบเอ็มไอเอสที่ดี
- ระบบเอ็มไอเอส จะสนับสนุนการทำงานของระบบประมวลผลข้อมูลและการจัดเก็บข้อมูลรายวัน
- ระบบเอ็มไอเอส จะใช้ฐานข้อมูลที่ถูกรวมเข้าด้วยกัน และสนับสนุนการทำงานของฝ่ายต่าง ๆ ในองค์กร
- ระบบเอ็มไอเอส จะช่วยให้ผู้บริหารระดับต้น ระดับกลาง และระดับสูง เรียกใช้ข้อมูลที่เป็นโครงสร้างได้ตามเวลาที่ต้องการ
- ระบบเอ็มไอเอส จะมีความยืดหยุ่นและสามารถรองรับความต้องการข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไปขององค์กร
- ระบบเอ็มไอเอส ต้องมีระบบรักษาความลับของข้อมูล และจำกัดการใช้งานของบุคลเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น
1. ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการในการวางแผนนโยบาย กลยุทธ์ และการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูง
2. ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการในส่วนยุทธวิธีในการวางแผนการปฏิบัตและการตัดสินใจของผู้บริหารระดับกลาง
3. ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการในระดับปฎิบัติการและการควบคุมในขั้นตอนนี้ผู้บริหารระดับล่างจะเป็นผู้ใช้สารสนเทศเพื่อช่วยในการปฎิบัติงาน
4. ระบบสารสนเทศที่ได้จากการประมวลผล
ระบบสารสนเทศเป็นระบบรวมทั้งนี้เนื่องจากไม่สามารถเก็บรวบรวมในลักษณะระบบเดียวเนื่องจากขนาดข้อมูลมีขนาดใหญ่และมีความซับซ้อนมาก ทำให้การบริหารข้อมูลทำได้อยาก การนำไปใช้ไม่สะดวก จึงจำเป็นต้องแบ่งระบบสารสนเทศออกเป็นระบบย่อย 4 ส่วนได้แก่
1. ระบบประมวลผลรายการ (Transaction Processing System :TPS)
2. ระบบจัดการรายงาน (Management Reporting System :MRS)
3. ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support System :DSS)
4. ระบบสารสนเทศสำนักงาน (Office Information System :OIS)
ลักษณะของระบบเอ็มไอเอสที่ดี
- ระบบเอ็มไอเอส จะสนับสนุนการทำงานของระบบประมวลผลข้อมูลและการจัดเก็บข้อมูลรายวัน
- ระบบเอ็มไอเอส จะใช้ฐานข้อมูลที่ถูกรวมเข้าด้วยกัน และสนับสนุนการทำงานของฝ่ายต่าง ๆ ในองค์กร
- ระบบเอ็มไอเอส จะช่วยให้ผู้บริหารระดับต้น ระดับกลาง และระดับสูง เรียกใช้ข้อมูลที่เป็นโครงสร้างได้ตามเวลาที่ต้องการ
- ระบบเอ็มไอเอส จะมีความยืดหยุ่นและสามารถรองรับความต้องการข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไปขององค์กร
- ระบบเอ็มไอเอส ต้องมีระบบรักษาความลับของข้อมูล และจำกัดการใช้งานของบุคลเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น
Interface
Interface เป็นคำที่มีความหมายที่ใหญ่ อาจหมายถึง การการเชื่อมโยงสัญญาณ หรือการติดต่อสื่อสาร และถือว่าเป็น Superset Word ของ WiFi นั่นแปลว่า WiFi เป็น คำที่มีความหมายเป็น Subset Word ของ Interface
การกำหนดความสามารถของ object ใน OOP ซึ่ง class ใด implement interface ก็เป็นการสัญญาณว่าจะมีความสามารถตามที่ interface กำหนดไว้ พูดง่ายๆ คือเป็นการแยก specification ออกจาก ส่วนของimplementation ของ class นั่นเอง ดังนั้นการติดต่อกับ object ที่สร้างขึ้นจาก class ดังกล่าวต้องผ่าน interface เท่านั้น
User Interface หมายถึง การติดต่อสื่อสารใกล้ๆ ตัว กับผู้ใช้ ในรูปแบบที่เราเห็นกันอยู่ทุกวัน ก็คือ Windows มี User Interface แบบ GUI ( Graphics User Interface ) ความหมายคือ Windows ใช้การแสดงตอบโต้สื่อสารกับผู้ใช้ โดยใช้รูปภาพเป็นสัญลักษณ์ User จะสั่งงานให้คอมพิวเตอร์ทำงานก็โดยการไป คลิกเลือก รูปไอคอน ที่แสดงหน้าที่ หรือ ตัวแทนของโปรแกรมที่ต้องการ ผลที่ได้ ก็แสดงออกมาในแบบที่เป็นรูปภาพ ให้เราได้เห็นกันบนจอภาพ ส่วนในอดีต เราใช้ MS-DOS ซึ่งมี User Interface เป็นแบบ CUI ( Character User Interface ) ความหมายคือ MS-DOS ใช้การแสดงตอบโต้สื่อสารกับผู้ใช้ โดยใช้รหัสตัวอักษร เป็นสื่อ การสั่งงานคอมพิวเตอร์ให้ทำงาน ก็ทำโดยการ พิมพ์คำสั่งหรือโปรแกรมที่ต้องการ เข้าไปที่ Prompt แล้ว กดแป้น Enter เพื่อสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ไปทำงานตามคำสั่งที่พิมพ์เข้าไป ผลที่ออกมา ก็แสดงออกมาเป็นตัวหนังสือให้เราได้อ่าน
Extension Card Interface คือ มาตรฐาน หลักเกณฑ์การเชื่อมต่อกับเมนบอร์ดคอมพิวเตอร์รูปแบบต่างๆ หลายชนิดกับการ์ดเพิ่มความสามารถในการมำงานประเภทต่างๆ เช่น AGP Interface , PCI Express Interface , PCI 16bit/32bit/64bit Interface , ISA Interface เป็นต้น
External Communication Interface คือ การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ หรือ อุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ เช่น
- Parallel Interface เช่น เครื่องพิมพ์แบบใช้ Parallel port, เครื่องสแกนเนอร์ เป็นต้น
- Serial Interface ( Com1, Com2, Com3, Com4 ) เช่น โมเด็ม , เครื่องพิมพ์ เป็นต้น
- USB Interface หรือ Universal Serial Bus Interface ที่ต่ออุปกรณ์สมัยใหม่ทาง USB Port
- FireWire Interface หรือ 1394 Interface พอร์ตเชื่อมต่อความเร็วสูง คล้ายกับ USB Port แต่ด้านหนึ่งจะมีลักษณะเป็นเหลี่ยมคางหมู ( เป็นหกเหลี่ยม ด้านยาว ) แทนที่จะเป็น สี่เหลี่ยมเหมือนกันทั้งสองด้าน มักต่ออุปกรณ์ที่ต้องการการส่งผ่านข้อมูลจำนวนมาก เช่น กล้องวีดีโอ , ฮาร์ดดิสก์ความเร็วสูงแบบภายนอก ( External Harddisk ) เป็นต้น
Wireless Interface คือ การเชื่อมต่อสื่อสารแบบไร้สาย เช่น WiFi ก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบ ไร้สาย โดยมีอุปกรณ์ไร้สายช่วยโดยอาจต่อผ่าน USB Port หรือ เป็น Extension Card ที่เสียบบน ISA , PCI , PCIExpress Slot อีกทีหนึ่งก็เป็นได้ครับ.
Memory Interface คือ เส้นทางการสื่อสารระหว่าง Memory (หน่วยความจำของการ์ดจอ) กับ GPU มีหน่วยเป็น bit อธิบายง่ายๆ ก็เหมือนกับถนนนั่นแหละ ถนนที่เส้นทางไปมาระหว่าง Mem กับ GPUเช่น ถ้า 64 bit ก็เหมือน ถนน 2 เลน รถสวนกันได้ทั่วไปถ้า 128 bit ก็เหมือน ถนน 4 เลนซูปเปอร์ไฮเวย์ แบ่งส่วนกันคนละ 2 เลนหรือ 256 bit เหมือน ถนน 8 เลน ทางด่วนโทเวย์ วิ่งใครวิ่งมันคนละ 4 เลน เป็นต้น จริงๆแล้ว คำว่า Memory Interface มันกว้าง ว่ากันตั่งแต่ address inputs,data input/output ,rom ฯลฯแต่ถ้าเกี่ยวกับเฉพาะการ์ดจอที่เรียกๆกันตามสเปค 64/128/256 bit
หนังสืออ้างอิง
http://board.thaidarkside.com/smf/index.php?topic=42752.0
http://dotnetdev.netfirms.com/Interface.htm
bit rate
bit rate
bit rate หมายถึงจำนวน bit ที่ใช้ในการแสดงข้อมูลต่อหนึ่งหน่วยเวลา โดยตามปกติและใช้หน่วยวินาที เพราะฉะนั้นก็จะมีหน่วยเป็น bits per second (bit/s or bps) หรือมีการใช่คำอุปสรรคเข้าไปข้างหน้าเพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจเช่น kilo- (kbit/s or kbps), mega- (Mbit/s or Mbps), giga- (Gbit/s or Gbps) หรือ tera- (Tbit/s or Tbps) ถ้า bit rate มาก จะได้ภาพที่ดีขึ้น แต่ก็ใช้พื้นที่ในการเก็บมากขึ้นด้วย จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาสื่อชนิดใหม่ๆขึ้นมาเพื่อเพิ่มความจุในการจัดเก็บครับและจะทำให้ขนาดไฟล์ใหญ่ขึ้นและไฟล์จะดีกว่า bitrate น้อย ขึ้นอยู่กับ format ที่คุณใช้งานด้วย ตัวอย่างเช่น เลือกใช้ CBR (Constant Bit Rate) อาจจะมีขนาดไฟล์ใหญ่กว่า VBR (Variable Bit Rate) แต่ไม่ได้หมายความว่าเสียงจะดีกว่า (วิธีการเข้ารหัสมีผลต่อขนาดไฟล์ ในขณะที่คุณภาพของเสียงเท่ากัน) MP3 ที่ 128Kb/s อาจจะมีคุณภาพเทียบเท่ากับ AAC ที่ 64Kb/s ทั้งๆที่ AAC มีขนาดไฟล์เล็กกว่าเท่านึง (Format มีผลต่อคุณภาพของเสียงเทียบกับ bit rate)
Bit Rate ในหนึ่งวินาทีมีข้อมูลที่ใช้เยอะ ดังนั้นทำให้เสียงของ Audio ที่ออกมา มีคุณภาพใกล้เคียง CD quality ยกตัวอย่าง ไฟล์เพลง MP3 ที่มี Bit Rate 128Kbit/sec (ในหนึ่งวินาทีใช้ข้อมูลทั้งหมด 128,000 bit ) อันนี้ก็จะมีคุณภาพดีระดับหนึ่ง แต่ก็ยังน้อยกว่า ไฟล์ MP3 ที่มี Bit Rate 192kbit/sec Bit ที่จะไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของ Sample Rate นั้น จะเป็นเรื่องของ bit Word ครับ, binary digit มารวมกันมากกว่า1 bit จะเรียกว่า bit word (ง่ายๆคือ 1 binary digit คือ 1 bit คือเลข 0 หรือ 1, ดังนั้น ที่ 1 bit จะมีแค่ 2 step เท่านั้น ยกตัวอย่าง 3 bit word นะครับ ก็จะมีได้หลาย step มากขึ้น เช่น 000,001,010,011,100,101,110,111 แล้วทีนี้ลองนึกภาพ 24bit ที่เราใช้กันสิครับ ว่ามีกี่ step, เฉลยคือ 16,777,216 steps)ทีนี้พอมีหลายๆstep ก็ทำให้การ quantization หรือการencode ให้กับ analog audio ในแนวตั้ง หรือ แกน y ไม่ error มากนัก (การ sampling ให้กับ analog audio จะเป็นแกน X หรือแนวนอน หน่วยเป็นเวลา) ทำให้ไม่มีเสียง distortion ปนมากับสัญญาณเสียงที่ถูกแปลงเป็น digital แล้วเรื่องของ bit word จะไปเกี่ยวข้องกับ เรื่องของ dynamic หรือ amplitude ของ audio,มันเป็นการ quantization ครับ ส่วนเรื่อง sample rate จะไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของความถี่ หรือ การ sample เสียงในหนึ่งหน่วยเวลาครับ หมายเหตุ bit คือหน่วยที่เล็กที่สุดของข้อมูลในระบบ Digital 8bits=1byte, 1024byte= 1KB, 1024KB=1MB............
วีดีโอบิทเรท * 128 – 384 kbit/s – คุณภาพระดับ วีดีโอบนอินเทอร์เนท * 1.25 Mbit/s – คุณภาพระดับ VCD * 5 Mbit/s – คุณภาพระดับ DVD * 15 Mbit/s – คุณภาพระดับ HDTV * 36 Mbit/s – คุณภาพระดับ HD DVD * 54 Mbit/s – คุณภาพระดับ Blu-ray Disc ดูตารางเปรียบเทียบ
Reduced: 88% of original size [ 727 x 619 ] - Click to view full image
หนังสืออ้างอิงรวบรวมและเรียบเรียงโดย Vodavoda@ThaiDVD.net
http://forum.thaidvd.net/index.php?showtopic=74970
http://www.soundkrub.com/webnew/rec_topic.php?categoryid=2&topicid=26&bpage=1
bit rate หมายถึงจำนวน bit ที่ใช้ในการแสดงข้อมูลต่อหนึ่งหน่วยเวลา โดยตามปกติและใช้หน่วยวินาที เพราะฉะนั้นก็จะมีหน่วยเป็น bits per second (bit/s or bps) หรือมีการใช่คำอุปสรรคเข้าไปข้างหน้าเพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจเช่น kilo- (kbit/s or kbps), mega- (Mbit/s or Mbps), giga- (Gbit/s or Gbps) หรือ tera- (Tbit/s or Tbps) ถ้า bit rate มาก จะได้ภาพที่ดีขึ้น แต่ก็ใช้พื้นที่ในการเก็บมากขึ้นด้วย จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาสื่อชนิดใหม่ๆขึ้นมาเพื่อเพิ่มความจุในการจัดเก็บครับและจะทำให้ขนาดไฟล์ใหญ่ขึ้นและไฟล์จะดีกว่า bitrate น้อย ขึ้นอยู่กับ format ที่คุณใช้งานด้วย ตัวอย่างเช่น เลือกใช้ CBR (Constant Bit Rate) อาจจะมีขนาดไฟล์ใหญ่กว่า VBR (Variable Bit Rate) แต่ไม่ได้หมายความว่าเสียงจะดีกว่า (วิธีการเข้ารหัสมีผลต่อขนาดไฟล์ ในขณะที่คุณภาพของเสียงเท่ากัน) MP3 ที่ 128Kb/s อาจจะมีคุณภาพเทียบเท่ากับ AAC ที่ 64Kb/s ทั้งๆที่ AAC มีขนาดไฟล์เล็กกว่าเท่านึง (Format มีผลต่อคุณภาพของเสียงเทียบกับ bit rate)
Bit Rate ในหนึ่งวินาทีมีข้อมูลที่ใช้เยอะ ดังนั้นทำให้เสียงของ Audio ที่ออกมา มีคุณภาพใกล้เคียง CD quality ยกตัวอย่าง ไฟล์เพลง MP3 ที่มี Bit Rate 128Kbit/sec (ในหนึ่งวินาทีใช้ข้อมูลทั้งหมด 128,000 bit ) อันนี้ก็จะมีคุณภาพดีระดับหนึ่ง แต่ก็ยังน้อยกว่า ไฟล์ MP3 ที่มี Bit Rate 192kbit/sec Bit ที่จะไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของ Sample Rate นั้น จะเป็นเรื่องของ bit Word ครับ, binary digit มารวมกันมากกว่า1 bit จะเรียกว่า bit word (ง่ายๆคือ 1 binary digit คือ 1 bit คือเลข 0 หรือ 1, ดังนั้น ที่ 1 bit จะมีแค่ 2 step เท่านั้น ยกตัวอย่าง 3 bit word นะครับ ก็จะมีได้หลาย step มากขึ้น เช่น 000,001,010,011,100,101,110,111 แล้วทีนี้ลองนึกภาพ 24bit ที่เราใช้กันสิครับ ว่ามีกี่ step, เฉลยคือ 16,777,216 steps)ทีนี้พอมีหลายๆstep ก็ทำให้การ quantization หรือการencode ให้กับ analog audio ในแนวตั้ง หรือ แกน y ไม่ error มากนัก (การ sampling ให้กับ analog audio จะเป็นแกน X หรือแนวนอน หน่วยเป็นเวลา) ทำให้ไม่มีเสียง distortion ปนมากับสัญญาณเสียงที่ถูกแปลงเป็น digital แล้วเรื่องของ bit word จะไปเกี่ยวข้องกับ เรื่องของ dynamic หรือ amplitude ของ audio,มันเป็นการ quantization ครับ ส่วนเรื่อง sample rate จะไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของความถี่ หรือ การ sample เสียงในหนึ่งหน่วยเวลาครับ หมายเหตุ bit คือหน่วยที่เล็กที่สุดของข้อมูลในระบบ Digital 8bits=1byte, 1024byte= 1KB, 1024KB=1MB............
วีดีโอบิทเรท * 128 – 384 kbit/s – คุณภาพระดับ วีดีโอบนอินเทอร์เนท * 1.25 Mbit/s – คุณภาพระดับ VCD * 5 Mbit/s – คุณภาพระดับ DVD * 15 Mbit/s – คุณภาพระดับ HDTV * 36 Mbit/s – คุณภาพระดับ HD DVD * 54 Mbit/s – คุณภาพระดับ Blu-ray Disc ดูตารางเปรียบเทียบ
Reduced: 88% of original size [ 727 x 619 ] - Click to view full image
หนังสืออ้างอิงรวบรวมและเรียบเรียงโดย Vodavoda@ThaiDVD.net
http://forum.thaidvd.net/index.php?showtopic=74970
http://www.soundkrub.com/webnew/rec_topic.php?categoryid=2&topicid=26&bpage=1
วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
File Server
File Server คือ เครื่องคอมพิวเตอร์หลักที่ใช้สำหรับการติดตั้งโปรแกรมเพื่อให้คอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ เข้ามาใช้ทรัพยากร หรือทำหน้าที่จัดเก็บแฟ้มข้อมูลต่างๆ ไว้ภายในเครื่องเดียวกัน สามารถดูแลรักษาข้อมูลได้ง่าย และป้องกันความซ้ำซ้อนของข้อมูล คนส่วนใหญ่มักเรียกชื่อสั้นๆ ว่า Server การใช้งานมากกว่าหนึ่งคนในช่วงเวลาเดียวกัน
File server ซึ่งเป็นเครื่อง Computer ในระบบ Network รวมทั้งควบคุมการทำงานของระบบให้เป็นไปอย่างถูกต้อง จัดสรรการใช้ทรัพยากรของ Client File Server โดยทั่ว ๆ ไปมักนิยมใช้เครื่อง Pc ที่อยู่ในระดังตั้งแต่ Pentium ขึ้นไปและหน่วยความจำอย่างน้อยต้องไม่ต่ำกว่า 32 Mb. และควรมี Harddisk ที่มีความเร็วสูง
File server : ระบบจัดเก็บแฟ้มข้อมูลภายในองค์กร
เป็นเครื่องแม่ข่ายที่มีหน้าที่จัดเก็บไฟล์ โดยการจัดเก็บไฟล์จะทำเสมือนเป็นฮาร์ดดิสก์รวมศูนย์ (Centralized disk storage) เสมือนว่าผู้ใช้งานทุกคนมีที่เก็บข้อมูลอยู่ที่เดียว เพราะควบคุม-บริหารง่าย การสำรองข้อมูล การ Restore ง่าย ข้อมูลดังกล่าว Shared ให้กับเครื่องลูกข่าย (Client) ได้ โดยส่วนมากข้อมูลที่อยู่ใน File Server คือ โปรแกรมและข้อมูล (Personal Data File) โดยปกติแล้วเซิร์ฟเวอร์ไม่มีหน้าที่ต้องประมวลข้อมูลเหล่านี้ เป็นเพียงแหล่งเก็บข้อมูล กล่าวง่ายๆ ก็คือ File Server ทำหน้าเสมือน Input/Output สำหรับไฟล์เป็นเครื่องแม่ข่ายที่มีหน้าที่จัดเก็บไฟล์ โดยการจัดเก็บไฟล์จะทำเสมือนเป็นฮาร์ดดิสก์รวมศูนย์ (Centralized disk storage) เสมือนว่าผู้ใช้งานทุกคนมีที่เก็บข้อมูลอยู่ที่เดียว เพราะควบคุม-บริหารง่าย การสำรองข้อมูล การ Restore ง่าย ข้อมูลดังกล่าว Shared ให้กับเครื่องลูกข่าย (Client) ได้ โดยส่วนมากข้อมูลที่อยู่ใน File Server คือ โปรแกรมและข้อมูล (Personal Data File) โดยปกติแล้วเซิร์ฟเวอร์ไม่มีหน้าที่ต้องประมวลข้อมูลเหล่านี้ เป็นเพียงแหล่งเก็บข้อมูล กล่าวง่ายๆ ก็คือ File Server ทำหน้าเสมือน Input/Output สำหรับไฟล์
ประเภทของเซิร์ฟเวอร์
โดยปกติจะแบ่งได้เป็น 4 ประเภท คือ File Server , Print Server , Database Server , Application Server การแบ่งออกเป็น 4 ประะเภทนั้น แบ่งตามลักษณะการใช้งาน คือ เก็บ-บริการไฟล์ บริการ/บริหาร งานพิมพ์ เก็บและบริการฐานข้อมูล และบริการ/บริหารซอฟต์แวร์ประยุกต์ ส่วน Mail Server, Internet Server หรือประเภทอื่นๆที่มีการเรียกชื่อนั้น เกิดจากการนำเอาเซิร์ฟเวอร์มากกว่า 2 ประเภทมารวมกันในตัวเดียวFile Server เป็นเซิร์ฟเวอร์ที่มีหน้าที่จัดเก็บไฟล์ โดยการจัดเก็บไฟล์จะทำเสมือนเป็นฮาร์ดดิสก์รวมศูนย์ (Centerized disk storage) เสมือนว่าผู้ใช้งานทุกคนมีที่เก็บข้อมูลอยู่ที่เดียว เพราะควบคุม-บริหารง่าย การสำรองข้อมูล การ Restore ง่าย ข้อมูลดังกล่าวสามารถ Shared ให้กับ Client ได้ โดยส่วนมากข้อมูลที่อยู่ใน File Server คือ โปรแกรมและข้อมูล (Personal Data File) โดยปกติแล้วเซิร์ฟเวอร์ไม่มีหน้าที่ต้องประมวลข้อมูลเหล่านี้ เป็นเพียงแหล่งเก็บข้อมูล กล่าวง่ายๆ ก็คือ File Server ทำหน้าเสมือน Input/Output สำหรับไฟล์ การทำงานของเซิร์ฟเวอร์ที่เป็น File Server นั้น ในทางเทคนิคแล้วยังไม่เรียกว่าเป็น "Client/Server" เพราะไม่มีการแบ่งโหลดการทำงานระหว่างไคลเอ็นต์กับเซิร์ฟเวอร์ แต่หน้าที่ที่ File Server จะต้องจัดการคือ มี NOS (Network Operating System) ที่ดูแลเกี่ยวกับการ "เข้าถึง" ไฟล์ ต้องมีกระบวน "Lock" ไว้ ไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการแก้ไขไฟล์ เช่น ขณะที่ผู้ใช้งานคนที่ 1 เปิด ไฟล์ A และกำลังแก้ไข (edit) อยู่ ผู้ใช้งานคนที่สองจะเปิดไฟล์ A เพื่อแก้ไขไม่ได้ (แต่เปิดเพื่ออ่าน Read Only ได้) แต่ถ้าหากข้อมูลนั้นเป็น Database แทนที่ไฟล์หรือฐานข้อมูลทั้งฐานข้อมูลจะถูก Lock กระบวนการ Lock ก็อาจจะเกิดเฉพาะ Record (Row) นี้เป็นหน้าที่ของ NOS และ Application ที่ใช้งาน Print Server หนึ่งเหตุผลที่ต้องมี Print Server ก็คือ เพื่อแบ่งให้พรินเตอร์ราคาแพงบางรุ่นที่ออกแบบมาสำหรับการทำงานมากๆ เช่น HP Laser 5000 พิมพ์ได้ 10 - 24 แผ่นต่อนาที พรินเตอร์ประเภทนี้ ความสามารถในการทำงานสูง ถ้าหากซื้อมาเพื่อใช้งานเพียงคนเดียว แต่ละวันพิมพ์ 50 แผ่น ก็ไม่คุ้มค่า ดังนั้นจึงต้องมีกระบวนการจัดการแบ่งปันพรินเตอร์ดังกล่าวให้กับผู้ใช้ทุกๆคนในสำนักงาน หน้าที่ในการแบ่งปัน ก็ประกอบด้วย การจัดคิว ใครสั่งพิมพ์ก่อน การจัดการเรื่อง File Spooling เป็นของเซิร์ฟเวอร์ ที่มีชื่อว่า Print Server
โดยส่วนใหญ่ในองค์กร น้อยองค์กรที่จะซื้อเซิร์ฟเวอร์มาเพื่อใช้สำหรับเป็น Print Server โดยเฉพาะ แต่จะใช้วิธีเอาเซิร์ฟเวอร์ที่ซื้อมาเพื่อเป็น File Server , Data Base server ทำเป็น Print Server ไปด้วย
Database Server หมายถึง เซิร์ฟเวอร์ที่มีไว้เพื่อรันระบบที่เป็นฐานข้อมูล DBMS (DataBase Managment System ) เช่น SQL , Informix เป็นต้น โดยภายในเซิร์ฟเวอร์ที่มีทั้งฐานข้อมูลและตัวจัดการฐานข้อมูล ตัวจัดการฐานข้อมูลในที่นี้หมายถึง มีการแบ่งปัน การประมวลผล โดยผ่านทางไคลเอ็นต์
Application Server คือ เซิร์ฟเวอร์ที่รันโปรแกรมประยุกต์ได้ด้วย โดยการทำงานสอดคล้องกับไคลเอ็นต์ เช่น Mail Server (รัน MS Exchange Server) Proxy Server (รัน Proxy Server) หรือ Web Server (รัน Web Server Program เช่น Xitami , Apache' )
องค์ประกอบสำคัญในการเลือกซื้อ File Server
1. ความต้องการของโปรแกรม หรือ Application ตัวอย่างเช่น เมื่อเราต้องการใช้ หรือติดตั้งระบบบัญชี เราจะต้องสอบถามเจ้าของผู้ผลิตโปรแกรมว่า ต้องใช้คุณสมบัติของ File Server เท่าไหร่, Hard disk, RAM เท่าไหร่ เป็นต้น
2. นอกเหนือจากความต้องการของโปรแกรมแล้ว เราสามารถพิจารณาในส่วนประกอบหรือชิ้นส่วนของ File Server ดังนี้
2.1 CPU (Central Processing Unit) หน่วยประมวลผล โดยปกติอาจเลือก CPU 1-2 ตัวหรือ 4 ตัว (ทั้งนี้ขึ้นกับความต้องการของระบบ)
2.2 RAM หรือหน่วยความจำ ปกติระดับ File Server อาจเริ่มต้นที่ 2 GB ขึ้นไป
2.3 Hard Disk หรือที่เก็บข้อมูล ปกติจะใช้ Hard Disk ที่เป็น Removable หมายถึง สามารถถอดและเปลี่ยนขณะเครื่องทำงานอยู่ (แต่จะต้องมีการติดตั้งระบบสำรองข้อมูลที่เรียกว่า RAID ก่อน)
2.4 Power Supply อาจมี Power Supply 2 ตัว หรือที่เราเรียกวา Redunant Power Supply เวลา Power ตัวหนึ่งเสีย อีกตัวหนึ่งสามารถทำงานอัตโนมัติได้ทันที
2.5 LAN card อาจมี 2 LAN card เพื่อช่วยในการทำงานที่เร็วขึ้น
2.6 Case หรือ ตัวเครื่อง ถ้าต้องการประหยัดพื้นที่ สามารถเลือก Case ที่เป็นแบบ Rack คือติดตั้งในตู้ Rack ซึ่งเหมาะสำหรับองค์กรที่มี Server หลายๆ ตัว
นอกจากตัวอุปกรณ์หลักๆ ยังมีส่วนประกอบสำคัญอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือระบบปฏิบัติการหรือ OS ซึ่งเราสามารถเลือกหาซื้อได้ไม่ว่าจะเป็น Windows Server หรือ Linux ซึ่งเป็นฟรี OS แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คือต้องพิจารณาจากหัวข้อแรก เป็นหลักเสมอ นั่นคือ ความต้องการของโปรแกรม ปัจจุบันราคาของ File Server มีราคาค่อนข้างถูกลงมาก เริ่มต้นที่หลักหมื่นบาท เท่านั้น ทั้งนี้ขึ้นกับโปรโมชั่นของแต่ละยี่ห้อด้วย
File server ซึ่งเป็นเครื่อง Computer ในระบบ Network รวมทั้งควบคุมการทำงานของระบบให้เป็นไปอย่างถูกต้อง จัดสรรการใช้ทรัพยากรของ Client File Server โดยทั่ว ๆ ไปมักนิยมใช้เครื่อง Pc ที่อยู่ในระดังตั้งแต่ Pentium ขึ้นไปและหน่วยความจำอย่างน้อยต้องไม่ต่ำกว่า 32 Mb. และควรมี Harddisk ที่มีความเร็วสูง
File server : ระบบจัดเก็บแฟ้มข้อมูลภายในองค์กร
เป็นเครื่องแม่ข่ายที่มีหน้าที่จัดเก็บไฟล์ โดยการจัดเก็บไฟล์จะทำเสมือนเป็นฮาร์ดดิสก์รวมศูนย์ (Centralized disk storage) เสมือนว่าผู้ใช้งานทุกคนมีที่เก็บข้อมูลอยู่ที่เดียว เพราะควบคุม-บริหารง่าย การสำรองข้อมูล การ Restore ง่าย ข้อมูลดังกล่าว Shared ให้กับเครื่องลูกข่าย (Client) ได้ โดยส่วนมากข้อมูลที่อยู่ใน File Server คือ โปรแกรมและข้อมูล (Personal Data File) โดยปกติแล้วเซิร์ฟเวอร์ไม่มีหน้าที่ต้องประมวลข้อมูลเหล่านี้ เป็นเพียงแหล่งเก็บข้อมูล กล่าวง่ายๆ ก็คือ File Server ทำหน้าเสมือน Input/Output สำหรับไฟล์เป็นเครื่องแม่ข่ายที่มีหน้าที่จัดเก็บไฟล์ โดยการจัดเก็บไฟล์จะทำเสมือนเป็นฮาร์ดดิสก์รวมศูนย์ (Centralized disk storage) เสมือนว่าผู้ใช้งานทุกคนมีที่เก็บข้อมูลอยู่ที่เดียว เพราะควบคุม-บริหารง่าย การสำรองข้อมูล การ Restore ง่าย ข้อมูลดังกล่าว Shared ให้กับเครื่องลูกข่าย (Client) ได้ โดยส่วนมากข้อมูลที่อยู่ใน File Server คือ โปรแกรมและข้อมูล (Personal Data File) โดยปกติแล้วเซิร์ฟเวอร์ไม่มีหน้าที่ต้องประมวลข้อมูลเหล่านี้ เป็นเพียงแหล่งเก็บข้อมูล กล่าวง่ายๆ ก็คือ File Server ทำหน้าเสมือน Input/Output สำหรับไฟล์
ประเภทของเซิร์ฟเวอร์
โดยปกติจะแบ่งได้เป็น 4 ประเภท คือ File Server , Print Server , Database Server , Application Server การแบ่งออกเป็น 4 ประะเภทนั้น แบ่งตามลักษณะการใช้งาน คือ เก็บ-บริการไฟล์ บริการ/บริหาร งานพิมพ์ เก็บและบริการฐานข้อมูล และบริการ/บริหารซอฟต์แวร์ประยุกต์ ส่วน Mail Server, Internet Server หรือประเภทอื่นๆที่มีการเรียกชื่อนั้น เกิดจากการนำเอาเซิร์ฟเวอร์มากกว่า 2 ประเภทมารวมกันในตัวเดียวFile Server เป็นเซิร์ฟเวอร์ที่มีหน้าที่จัดเก็บไฟล์ โดยการจัดเก็บไฟล์จะทำเสมือนเป็นฮาร์ดดิสก์รวมศูนย์ (Centerized disk storage) เสมือนว่าผู้ใช้งานทุกคนมีที่เก็บข้อมูลอยู่ที่เดียว เพราะควบคุม-บริหารง่าย การสำรองข้อมูล การ Restore ง่าย ข้อมูลดังกล่าวสามารถ Shared ให้กับ Client ได้ โดยส่วนมากข้อมูลที่อยู่ใน File Server คือ โปรแกรมและข้อมูล (Personal Data File) โดยปกติแล้วเซิร์ฟเวอร์ไม่มีหน้าที่ต้องประมวลข้อมูลเหล่านี้ เป็นเพียงแหล่งเก็บข้อมูล กล่าวง่ายๆ ก็คือ File Server ทำหน้าเสมือน Input/Output สำหรับไฟล์ การทำงานของเซิร์ฟเวอร์ที่เป็น File Server นั้น ในทางเทคนิคแล้วยังไม่เรียกว่าเป็น "Client/Server" เพราะไม่มีการแบ่งโหลดการทำงานระหว่างไคลเอ็นต์กับเซิร์ฟเวอร์ แต่หน้าที่ที่ File Server จะต้องจัดการคือ มี NOS (Network Operating System) ที่ดูแลเกี่ยวกับการ "เข้าถึง" ไฟล์ ต้องมีกระบวน "Lock" ไว้ ไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการแก้ไขไฟล์ เช่น ขณะที่ผู้ใช้งานคนที่ 1 เปิด ไฟล์ A และกำลังแก้ไข (edit) อยู่ ผู้ใช้งานคนที่สองจะเปิดไฟล์ A เพื่อแก้ไขไม่ได้ (แต่เปิดเพื่ออ่าน Read Only ได้) แต่ถ้าหากข้อมูลนั้นเป็น Database แทนที่ไฟล์หรือฐานข้อมูลทั้งฐานข้อมูลจะถูก Lock กระบวนการ Lock ก็อาจจะเกิดเฉพาะ Record (Row) นี้เป็นหน้าที่ของ NOS และ Application ที่ใช้งาน Print Server หนึ่งเหตุผลที่ต้องมี Print Server ก็คือ เพื่อแบ่งให้พรินเตอร์ราคาแพงบางรุ่นที่ออกแบบมาสำหรับการทำงานมากๆ เช่น HP Laser 5000 พิมพ์ได้ 10 - 24 แผ่นต่อนาที พรินเตอร์ประเภทนี้ ความสามารถในการทำงานสูง ถ้าหากซื้อมาเพื่อใช้งานเพียงคนเดียว แต่ละวันพิมพ์ 50 แผ่น ก็ไม่คุ้มค่า ดังนั้นจึงต้องมีกระบวนการจัดการแบ่งปันพรินเตอร์ดังกล่าวให้กับผู้ใช้ทุกๆคนในสำนักงาน หน้าที่ในการแบ่งปัน ก็ประกอบด้วย การจัดคิว ใครสั่งพิมพ์ก่อน การจัดการเรื่อง File Spooling เป็นของเซิร์ฟเวอร์ ที่มีชื่อว่า Print Server
โดยส่วนใหญ่ในองค์กร น้อยองค์กรที่จะซื้อเซิร์ฟเวอร์มาเพื่อใช้สำหรับเป็น Print Server โดยเฉพาะ แต่จะใช้วิธีเอาเซิร์ฟเวอร์ที่ซื้อมาเพื่อเป็น File Server , Data Base server ทำเป็น Print Server ไปด้วย
Database Server หมายถึง เซิร์ฟเวอร์ที่มีไว้เพื่อรันระบบที่เป็นฐานข้อมูล DBMS (DataBase Managment System ) เช่น SQL , Informix เป็นต้น โดยภายในเซิร์ฟเวอร์ที่มีทั้งฐานข้อมูลและตัวจัดการฐานข้อมูล ตัวจัดการฐานข้อมูลในที่นี้หมายถึง มีการแบ่งปัน การประมวลผล โดยผ่านทางไคลเอ็นต์
Application Server คือ เซิร์ฟเวอร์ที่รันโปรแกรมประยุกต์ได้ด้วย โดยการทำงานสอดคล้องกับไคลเอ็นต์ เช่น Mail Server (รัน MS Exchange Server) Proxy Server (รัน Proxy Server) หรือ Web Server (รัน Web Server Program เช่น Xitami , Apache' )
องค์ประกอบสำคัญในการเลือกซื้อ File Server
1. ความต้องการของโปรแกรม หรือ Application ตัวอย่างเช่น เมื่อเราต้องการใช้ หรือติดตั้งระบบบัญชี เราจะต้องสอบถามเจ้าของผู้ผลิตโปรแกรมว่า ต้องใช้คุณสมบัติของ File Server เท่าไหร่, Hard disk, RAM เท่าไหร่ เป็นต้น
2. นอกเหนือจากความต้องการของโปรแกรมแล้ว เราสามารถพิจารณาในส่วนประกอบหรือชิ้นส่วนของ File Server ดังนี้
2.1 CPU (Central Processing Unit) หน่วยประมวลผล โดยปกติอาจเลือก CPU 1-2 ตัวหรือ 4 ตัว (ทั้งนี้ขึ้นกับความต้องการของระบบ)
2.2 RAM หรือหน่วยความจำ ปกติระดับ File Server อาจเริ่มต้นที่ 2 GB ขึ้นไป
2.3 Hard Disk หรือที่เก็บข้อมูล ปกติจะใช้ Hard Disk ที่เป็น Removable หมายถึง สามารถถอดและเปลี่ยนขณะเครื่องทำงานอยู่ (แต่จะต้องมีการติดตั้งระบบสำรองข้อมูลที่เรียกว่า RAID ก่อน)
2.4 Power Supply อาจมี Power Supply 2 ตัว หรือที่เราเรียกวา Redunant Power Supply เวลา Power ตัวหนึ่งเสีย อีกตัวหนึ่งสามารถทำงานอัตโนมัติได้ทันที
2.5 LAN card อาจมี 2 LAN card เพื่อช่วยในการทำงานที่เร็วขึ้น
2.6 Case หรือ ตัวเครื่อง ถ้าต้องการประหยัดพื้นที่ สามารถเลือก Case ที่เป็นแบบ Rack คือติดตั้งในตู้ Rack ซึ่งเหมาะสำหรับองค์กรที่มี Server หลายๆ ตัว
นอกจากตัวอุปกรณ์หลักๆ ยังมีส่วนประกอบสำคัญอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือระบบปฏิบัติการหรือ OS ซึ่งเราสามารถเลือกหาซื้อได้ไม่ว่าจะเป็น Windows Server หรือ Linux ซึ่งเป็นฟรี OS แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คือต้องพิจารณาจากหัวข้อแรก เป็นหลักเสมอ นั่นคือ ความต้องการของโปรแกรม ปัจจุบันราคาของ File Server มีราคาค่อนข้างถูกลงมาก เริ่มต้นที่หลักหมื่นบาท เท่านั้น ทั้งนี้ขึ้นกับโปรโมชั่นของแต่ละยี่ห้อด้วย
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)

